"คุ้มค่าจริงๆ" เป็นคำที่เพื่อนร่วมทางอีก 4 คนที่เพิ่งกลับมาจากท่องเที่ยวเมืองโบราณชานกรุงปักกิ่งที่ชื่อว่า "ชวนตี๋เซี่ย" ด้วยกันเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาพร่ำพูดระหว่างทางที่เรามุ่งหน้ากลับสู่ตัวเมืองตอนที่ดวงอาทิตย์กำลังลับเหลี่ยมเขาเสียดฟ้าด้านทิศตะวันตกของเมืองหลวงโบราณแห่งนี้
"ชวนตี๋เซี่ย" ตั้งอยู่ห่างไปทางทิศตะวันตกของกรุงปักกิ่งประมาณ 90 กิโลเมตร ตั้งอยู่ในเขตเหมินโถโกว การเดินทางมีเพียงรถโดยสารประจำทางสายเดียวที่วิ่งตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงเย็น แต่เดิมนั้นคือสาย 929(支) แต่เนื่องจากเกิดความสับสนกับรถสาย 929 ธรรมดา ทางบริษัทขนส่งมวลของกรุงปักกิ่งจึงเปลี่ยนมาใช้สาย 892 แทน ดังนั้นใครที่เตรียมข้อมูล โดยศึกษาจากเว็บทางการของจีนหรือเว็บท่องเที่ยวอื่นๆ ที่เป็นภาษาอังกฤษและภาษาจีนทั้งหลาย ขอให้จงจำไว้ว่าเว็บเหล่านั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงใส่ข้อมูลใหม่นี้เข้าไป จึงยังคงระบุว่า 929(支) อยู่เหมือนเดิม แต่สำหรับรายละเอียดอย่างอื่นที่ว่าต้องนั่งรถไฟใต้ดินสาย 1 ไปลงที่สถานีผิงกั่วหยวน จากนั้นต่อรถประจำทาง เมื่อถึงป้ายที่ชื่อว่าจ้ายถัง(Zhaitang) แล้วให้เรียกแท็กซี่ชาวบ้านที่มายืนออรอลูกค้าอยู่หน้าบันไดรถนั้นยังคงเหมือนเดิม จะเปลี่ยนก็เพียงสายรถประจำทางเท่านั้น
-เพียงทำตามข้อมูลนี้ก็จะสามารถเดินทางไปถึงที่หมายสบายใจ--นี่เป็นข้อมูลที่ทุกเว็บไซต์ลอกเลียนและให้กันไว้เช่นนี้ อาจจะด้วยเพราะคนที่เขียนไม่เคยเดินทางไปเอง หรือเขียนแล้วชะล่าใจไม่ลงรายละเอียด หรืออย่างไรก็ตามแต่ เพราะนี่เป็นเพียงข้อมูลเดินทางคร่าวๆ เหมาะสำหรับคนที่มีความรู้ภาษาจีนหรือคนชอบการผจญภัยเล็กๆ ปฏิบัติตามได้ แต่คนที่ชอบความแน่นอนและอ่อนภาษาจีนย่อมเป็นไปได้ยากที่จะปฏิบัติตามได้ทุกขั้นตอนอย่างปราศจากอุปสรรค
ดังนั้น จึงขอเพิ่มเติมรายละเอียดอีกหน่อยว่า เมื่อออกจากสถานีรถไฟใต้ดินผิงกั่วหยวนแล้ว ให้เดินเลี้ยวขวา(ไปทางทิศตะวันตก ถ้าไม่รู้ทิศ แต่รู้จักมือขวาของตัวเอง ก็ให้ยกขึ้น แล้วเดินไปทางแขนข้างนั้น) ขณะเดินจะมีคนไม่รู้จักจำนวนมาก มาตะโกนทัก มาสะกิดแขน ชวนไปนู่นนี่ ก็ขอให้อย่าใจง่าย หรืออัธยาศัยดีเกินไป เพราะจะทำให้เสียเวลา หรือใจเขวเดินตามไปขึ้นรถแท็กซี่เถื่อนกับเขาได้ ให้มีสมาธิมุ่งหน้าเดินต่อไป ป้ายแรกที่เจอ ซึ่งห่างจากรถไฟใต้ดินเพียงเล็กน้อยนั้นไม่ใช่จุดหมาย ให้เดินต่อไปอีกหน่อยก็จะพบ ตรงนั้นจะเป็นป้ายจอดของรถประจำทาง 2 สายด้วยกัน คือสาย 929 และสาย 892 ซึ่งรถแต่ละเที่ยวจะห่างกันพอสมควร ดังนั้นต้องอดทนยืนรอคิวนิดหน่อย และเมื่อรถให้เทียบป้ายให้เกร็งกล้ามเนื้อเตรียมเบียดแทรกและกระแทกกันนิดหน่อย เพราะแถวที่ต่อไว้นั้นจะไม่เกิดประโยชน์ทันทีที่รถจอดสนิท
ซึ่งนี่เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของการขึ้นรถที่เมืองจีน นั่นเพราะรถจะรับแค่พอที่นั่ง ใครขึ้นไม่ทันก็ต้องรอเที่ยวต่อไป (แต่ระหว่างทางรับผู้โดยสารยืนบ้าง)
สำหรับการโดยสารรถประจำทางนั้น ใครใคร่หลับก็ให้หลับ เพราะใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้น 2 ชั่วโมงครึ่ง ถ้านับป้ายรถประจำทางก็ตกประมาณ 54 ป้าย ถึงเมื่อไรก็ค่อยตื่น จะได้มีแรงเดินทางต่อ ส่วนใครใคร่ชื่นชมบรรยากาศสองข้างทางก็สามารถทำได้ตามใจอยาก เพราะเมื่อผ่านเขตเมืองของเหมินโถโกว จนเข้าสู่แนวเทือกเขาแล้วนั้น อากาศจะเต็มไปด้วยโอโซน ยิ่งในฤดูที่ไม่หนาวเหน็บเช่นนี้ แมกไม้สีเขียวขจีและแสงอาทิตย์ที่ส่องกระทบลำธารและสายน้ำสองทางระยิบระยับอยู่นั้น นอกจากจะทำให้ตาตื่นและเบิกบานแล้ว ยังเติมใจให้สดชื่นและพองโตไปกับความแตกต่างเพียงแค่ข้ามมาคนละฝั่งภูเขาเท่านี้เอง
ในยามย่างเข้าฤดูใบไม้ร่วงช่วงที่เราออกเดินทาง ท้องฟ้าสดใส มวลอากาศกำลังอุณหภูมิพอดี และลมเย็นที่พัดอ่อนมาจากที่ราบสูงมองโกเลียฉุดคนให้ออกจากบ้านทั้งนักตกปลา ชมรมปั่นจักรยาน นักเดินป่า นักปีนภูเขา ทัวร์ฉิ่งฉับ และทัวร์ไปเรื่อยเมื่อยก็พักแบบพวกเรา
ดังนั้นตั้งแต่สถานีผิงกั่วหยวนแล้วจะเห็นชาวจีนที่ถูกฉุดออกมาจากบ้านจำนวนมาก โดยเฉพาะนักปีนเขา คนเหล่านี้จะแต่งกายครบสูตร ตั้งแต่กางเกงผ้าร่ม เสื้อกันลม หมวก แว่นตากันแดด เป้สีสด(จะได้สะดุดตา หากเกิดกรณีหลงป่าหรือประสบอุบัติเหตุ) และรองเท้าเดินเขา
มองดูแล้วยังกับนักบุกเบิกที่จะไปเยือนภูเขาที่ไม่มีใครเคยก้าวผ่านมาก่อน
ที่สะดุดตาที่สุดคือ ไม้ค้ำสำหรับเดินขึ้นภูเขา เพราะทุกคนที่แต่งชุดแบบครบสูตรนั้นจะต้องมีเสียบไว้ที่เป้ หรือไม่ก็เดินถือแกว่งไปมากันทุกคน สิ่งนี้เสริมบารมีอย่างยิ่ง ทำให้เมื่อใครมีไว้ในครอบครองแล้วจะมีรังสีของความเป็นมืออาชีพฉายฉานออกมา
สีหน้าและแววตาของพวกเขาบอกชัดเจนว่านี่คือการพิชิตที่ยิ่งใหญ่ "จะพวกต้องเป็นคนแรกที่ได้จารึกชื่อไว้"
และระหว่างทางจะเห็นคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องยกนิ้วให้กับความทรหดอดทน นั่นก็คือ เหล่านักปั่นน่องเหล็กที่มุ่งหน้าออกจากกลางกรุงอันวุ่นวายมาสูดอากาศในหุบเขาชานเมืองทุกวันหยุด เป็นแรงบันดาลใจว่า คราวหน้าเราต้องเอาอย่างบ้าง
รายละเอียดอีกอย่างหนึ่งที่ผู้โดยสารรถประจำทางไปชวนตี๋เซี่ยควรรู้ก็คือ ให้โดยสารรถแท็กซี่ชาวบ้านอย่างไม่ต้องลังเล ราคาตกหัวละ 30 หยวนไม่ขาดไม่เกิน และไม่จำเป็นต้องต่อ(ราคานี้ 2 ปีผ่านมาแล้วยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง) เพราะเป็นราคาที่ถูกแสนถูก ด้วยเพราะรถชาวบ้านสามารถเข้าไปในเขตอุทยานโดยไม่ต้องเสียค่าบัตรผ่านประตู ซึ่งปกติราคา 25 หยวน เมื่อบวกระยะทางจากจ้ายถังเข้าไปยังชวนตี๋เซี่ยอีกหลายสิบกิโลเมตรบนเส้นทางที่คดเคี้ยวของภูเขาด้วย ยิ่งคุ้มค่าไปกันใหญ่ อีกทั้งคนขับชาวบ้านเหล่านี้ก็ยังน่ารัก ระหว่างทางเมื่อผ่านสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญก็จะชี้ชวนให้ดูและบอกให้รู้ เช่นเมื่อเราผ่านอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ และหลงเหมินเจียน(แกรนด์ แคนยอน แห่งกรุงปักกิ่ง) อีกทั้งยังพาเราไปยังเส้นทางหลังหมู่บ้าน ให้ได้สัมผัสกับเส้นทางช่องเขาโบราณที่ถูกอนุรักษ์ไว้อย่างดี รถยนต์ทันสมัยและราคาแพงเช่นไร หากมาทางนี้ก็ต้องวิ่งลอดช่องเขาที่เกิดจากการยุบตัวของดินและหินธรรมชาติจนเกิดเป็นช่องทางที่คดเคี้ยว
และไม่ต้องตกใจเมื่อรถจอดทักทายเจ้าหน้าที่ที่ด่าน เขาก็จะถามสารทุกข์สุขดิบกันตามประสาคนคุ้นเคยกันว่า วันนี้ได้กี่คนล่ะ มาจากประเทศไหน เออ...แม่ป่วยเป็นไงบ้าง ลูกเข้าเรียนหรือยัง อะไรประมาณนี้ เสร็จแล้วก็จะโบกมือพร้อมส่งรอยยิ้มให้คนขับว่าโชคดีนะ นอกจากไม่ต้องกังวลใจแล้ว ก็ไม่ต้องห่วงว่าจะต้องเสียเงินเพิ่ม เพราะเส้นทางนี้เป็นของชาวบ้านโดยเฉพาะ เราก็นั่งรถติดเข้ามาเหมือนเป็นเพื่อนของเขา เป็นแขกเหรื่อพิเศษจากต่างแดน อีกเหตุผลที่เจ้าหน้าที่ละเว้นไม่เก็บเงินก็เพราะว่าชาวบ้านในชวนตี๋เชี่ยทำอาชีพนี้กันมายาวนานก่อนที่ทางการจะเข้ามาจัดเก็บค่าบัตรผ่านประตู จึงยังคงอนุโลมให้ชาวท้องถิ่นมีรายได้เช่นเดิม เพราะยังไงเสียเส้นทางนี้ก็ผ่านได้เฉพาะรถเล็ก ส่วนพวกรถหรูและรถทัวร์ขนาดใหญ่ยังไงก็ต้องผ่านประตูหลักเสียเงินค่าเข้ากันอยู่แล้ว ซึ่งนี่ก็เป็นความน่ารักอย่างหนึ่งของคนท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่ที่ต้องอยู่ด้วยกันและพึ่งพาอาศัยกัน
ยิ่งเมื่อรถวิ่งเข้าสู่หมู่บ้าน ก็จะเห็นว่าคนขับจะชะลอเครื่องตะโกนถามคนที่เดินผ่านมาอย่างงู้นอย่างงี้อย่างสนิทสนมทุกครั้งที่พบ ทำให้รอยยิ้มของเราถูกเรียกออกมาเผย เพราะสัมผัสได้ถึงความเป็นกันเองและอัธยาศรัยที่อบอุ่น ซึ่งหาได้ยากในเมืองใหญ่ที่เราทิ้งไว้เบื้องหลังไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา
แค่สิ่งนี้ก็ทำให้เรารู้สึกถึง "ความคุ้มค่า" ในหัวใจที่เลือกใช้วันหยุดเดินทางมาที่นี่ แม้ยังไม่ได้สัมผัสความเก่าแก่และงดงามของหมู่บ้านที่ยืนยงผ่านมาเวลามากว่า 400 ปี จากสมัยราชวงศ์หมิงนี้เสียอีก
อ่อ...ยังมีเรื่องเวลาของการเดินทาง หากท่านต้องการใช้เวลาเพียงหนึ่งวันก็ขอให้ออกเช้าหน่อย ยิ่งทันรถเที่ยวแรกตอน 7 โมงเช้ายิ่งดี และหากอยากนอนพักค้างคืนในเกสต์เฮ้าส์โบราณ จะเลือกออกเวลาไหนก็ได้ หลังเที่ยงก็ดี เพราะจะได้ไม่เบียดเสียดกับคนในช่วงสายๆ มากนัก ส่วนราคาที่พักก็ไม่เกิน 100 หยวนต่อคืน
เล่ากันว่าหมู่บ้านนี้เดิมเป็นชาวซานซีที่อพยพกันมา มีบ้านเรือนรวมกันเพียง 70 หลังคาเรือน ลักษณะการก่อสร้างบ้านจะคล้ายกับบ้านแบบสื่อเหอย่วนของปักกิ่ง แต่มีขนาดเล็กกว่า คือมีลานกลางบ้านและมีห้องหับสี่ด้าน ซึ่งได้นำเข้าอิทธิพลสถาปัตยกรรมแบบนี้มาจากในพระราชวังตามคำสั่งของจักรพรรดิคังซี ในสมัยโบราณนั้นชวนตี๋เซี่ยเลี้ยงตัวเองด้วยการขายถ่านหิน ขนสัตว์ และธัญพืช แต่ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง ขายอาหารแบบชาวบ้านทำเอง ห้องพักแบบย้อนยุค และภาพบรรยากาศของหมู่บ้านเก่าแก่ที่อนุรักษ์ไว้อย่างดีหาที่ใดเทียบเทียมได้
สาเหตุที่ชื่อของ "ชวนตี๋เซี่ย" เป็นที่รู้จักกันไปทั่วก็ด้วยว่าถูกเลือกเป็นสถานที่ถ่ายทำละครและภาพยนตร์หลายเรื่อง สังเกตได้จากบ้านหลังไหนที่โด่งดังจะมีรูปเจ้าของบ้านกับดาราแปะติดอวดไว้ที่ข้างฝาว่า "บ้านฉันนี่แหละที่พวกคุณเคยเป็นในจอ"
นอกจากชื่อเสียงดังกล่าวแล้ว สิ่งแวดล้อมและทัศนียภาพรายล้อมของหมู่บ้านก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดใจให้หลายต่อหลายคนมุ่งหน้ามาหา ไม่ว่าจะเป็นภูเขาสูงชันที่เด่นตระหง่านอยู่รายรอบ ซึ่งเมื่อป่ายปีนจนขึ้นไปถึงยอดเขาแล้วมองลงมากลางหุบจะเห็นหมูบ้านโบราณแห่งนี้เหลือเพียงแต่หยิบมือเดียว ยิ่งอากาศในฤดูนี้ที่ไม่ร้อนเกินไป และไม่หนาวจนทนไม่ไหว แมกไม้ใบหญ้ายังเขียวขจี จึงมีกลิ่นของธรรมชาติที่สดชื่นรื่นโรยมาให้เราสูดเอาสะสมความบริสุทธิ์ได้อย่างเต็มปอด
ขณะเดียวกัน เมื่อเราขึ้นไปถึงยอดเขา ยืนเหยียบอยู่ระดับเดียวกับตีนเมฆนี้ แทนที่จะทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองยิ่งใหญ่ แต่ในใจกลับฟ่อลง เห็นในทางตรงกันข้ามว่าเราช่างกระจิริดเสียเหลือเกินเมื่อส่ายสายตาไปยังยอดเขาที่สลับซับซ้อนสุดลูกหูลูกตา สำนึกเกิดขึ้นว่า เรานั้นเป็นเพียงส่วนเสี้ยวที่ประกอบขึ้นของธรรมชาติเพียงเท่านั้น
สำหรับกิจกรรมที่ได้รับความนิยมที่สุดเมื่อมาเยือน "ชวนตี๋เซี่ย" ก็คือ การถ่ายภาพ เพราะมีทั้งระดับมืออาชีพและสมัครเล่นสลับสับเปลี่ยนกันมาทุกฤดูกาลต่อทั้งปี นอกจากนี้ การวาดรูปทิวทัศน์ก็กำลังกลายเป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่วัยรุ่นจีนกันเอง หรือจากโรงเรียนที่เปิดสอนวาดรูป คือแทนที่จะนั่งวาดหุ่นกันอยู่ในห้องเพียงเท่านั้น ก็จัดทริปให้เด็กๆ ได้ออกมาสัมผัสกับธรรมชาติและวาดจากสถานที่จริงๆ ซึ่งนอกจากกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการทำงานศิลปะแล้ว ยังเป็นการฝึกให้เด็กได้ใช้ชีวิตด้วยตัวเอง รวมถึงการพึ่งพาอาศัยเพื่อนๆ ด้วย นับเป็นการฝึกทักษะให้กับจักรพรรดิน้อยของครอบครัวจีนได้เป็นอย่างดี
นอกจากกิจกรรมชนิดที่ทำให้เราอิ่มสุขทางสายตาและหัวใจแล้ว ร้านอาหารชาวบ้านอันมากมายก็เปิดประตูอ้าให้เราได้อิ่มเอมรสมือชาวพื้นถิ่นจากอาหารที่หากันได้มาปรุงกันให้ได้ลิ้มชิมอีกด้วย ซึ่งในฤดูที่ยังไม่หนาวเหน็บเช่นนี้ทุกบ้านเรือนที่มีขนาดใหญ่ โดยเฉพาะที่อยู่ตีนเขาจึงเปิดเป็นร้านอาหารแทบทั้งสิ้น มีตุ๋นชนิดต่างๆ ปรุงจากกระทะโบราณวางเรียงให้เลือก มีเป็ดอบเตาฟืนเก่าแก่ขนานแท้ และอาหารตามสั่งนานาชนิด ส่วนในหน้าหนาวที่มีนักท่องเที่ยวน้อยๆ นั้นก็จะได้ชิมอาหารแบบตามมีตามเกิดจริงๆ บางครั้งข้าวขาวในครัวหมด เจ้าของบ้านยังเอาพวกธัญพืชมาหุงปนให้รับประทานกันด้วย ถือได้ว่าเป็นอีกความทรงจำหนึ่งที่ได้จากความเป็นกันเองของ "ชวนตี๋เซี่ย"
นี่คือความเคลื่อนไหวที่ดำเนินอยู่ในหมู่บ้านโบราณเล็กๆ แห่งนี้ ซึ่งสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเพียงเสน่ห์เล็กๆ น้อยๆ ที่เราสามารถค้นพบภายในเวลาไมกี่ชั่วโมงที่เดินเลาะเล่นกันไปมา อาจเพราะเรามีสายตาของคนนอก สิ่งที่พบเห็นหรือสิ่งที่หลบซ่อนต่อการรู้จักของเราจึงยังมีอยู่อีกมาก หากจะทำความรู้จักกันแบบสนิทสนมจึงต้องอาศัยเวลาอีกหลายชั่วคืน
และแม้เราจะมีเวลาแต่เพียงผิวเผิน แต่ด้วยบุคลิกที่เปิดเผยของหมู่บ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเป็นกันเองที่เราสัมผัสได้ตั้งแต่เพิ่งย่างกรายเข้ามา ก็ทำให้รับรู้แล้วว่าที่นี่แตกต่างจากแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ยิ่งเมื่อได้เดินสอดส่ายไปตามบ้านเรือนต่างๆ ที่สร้างขึ้นซ้อนกันขึ้นไปตามไหล่เขานั้น ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความเปิดใจของชาวบ้านที่ต้อนรับขับสู้โดยไม่เสแสร้ง แสดงให้เห็นความภาคภูมิที่หมู่บ้านโบราณอันห่างไกลของพวกเขาประทับใจทุกผู้คนที่ได้มีโอกาสมาเยือน
นอกจากค่าเดินทางจะถูกแสนถูก ธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่งดงาม และตัวหมู่บ้านโบราณจะทำให้คนที่มารู้สึกคุ้มค่าแล้ว
รอยยิ้มและอัธยาศรัยที่ต่างจากหมู่บ้านจีนทั่วไปนี่เองที่เป็น "ความคุ้มค่า" อีกอย่างหนึ่งที่เพื่อนร่วมทางในครั้งนี้พูดกันไม่ขาดปาก
ไม่แปลกเลยที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ ดึงดูดให้ผู้คนหวนกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า
...รวมถึงตัวข้าพเจ้าเองด้วย
พัลลภ สามสี