ห่วงชีวิตตัวเองไว้ก่อน ค่อยสร้างโอกาสปราบผู้ร้าย
หากตกอยู่ในภาวะที่หลบหนีผู้ร้ายไม่พ้น สิ่งสำคัญอันดับแรกก็คือ พยายามเอาตัวรอดด้วยการประกันความปลอดภัยทางชีวิตให้ได้ก่อน แล้วค่อยคิดจะสร้างโอกาสจัดการกับผู้ร้ายในตอนหลัง การต้องเผชิญหน้ากับโจรผู้ร้ายในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน ทำอย่างไรจึงจะเอาตัวรอดได้ ขึ้นอยู่กับไหวพริบของผู้อยู่ในเหตุการณ์ มีประสบการณ์จัดการกับผู้ร้ายของคนขับแท็กซี่หญิงชาวปักกิ่งคนหนึ่ง นับเป็นตัวอย่างที่ดีของความมีไหวพริบทั้งความคิดและการกระทำ
ตอนค่ำวันหนึ่ง คนขับแท็กซี่หญิงผู้นี้ขับรถแล่นไปตามปกติ ที่หน้ามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง มีผู้ชายหน้าตาซื่อๆ คนหนึ่งโบกมือเรียกแท็กซี เธอเห็นเขาแต่งตัวเรียบร้อยเหมือนนักศึกษาทั่วไปก็จอดรถรับ ผู้โดยสารหนุ่มบอกว่าจะไปเมืองจั๋วลู่ ห่างจากตัวเมืองปักกิ่งประมาณ 90 กิโลเมตร ตามกฎข้อบังคับของหน่วยงานจราจรปักกิ่งกำหนดไม่ให้คนขับแท็กซีของปักกิ่งขับออกไปนอกเมือง แต่ผู้โดยสารขอให้เธอช่วยไปส่งเพราะทางบ้านมีธุระด่วน และรถเมล์ข้ามเมืองก็หมดเวลาวิ่งในตอนกลางคืนแล้ว คนขับหญิงเห็นเขาเป็นหนุ่มท่าทางสุภาพเรียบร้อย จึงตัดสินใจขับไปส่งให้ไม่ทันได้คิดอะไรมาก
ขับรถวิ่งไปนานกว่าหนึ่งชั่วโมง ก็ได้มาถึงเขตภูเขาที่ไม่ค่อยมีรถหรือผู้คนสัญจรไปมานัก ผู้โดยสารหนุ่มกลับเลิกคุยและเอาแต่มองออกไปนอกหน้าต่าง คนขับหญิงจึงรู้สึกกลัวขึ้นมาแล้ว เมื่อรถแล่นใกล้ถึงทะเลสาบแห่งหนึ่ง ผู้โดยสารหนุ่มจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า "ปวดฉี่ จอดรถเดี๋ยวนี้" ทำเอาคนขับหญิงใจหายวาบทันที เพราะคำพูดทำนองนี้คนขับแท็กซีปักกิ่งต่างทราบกันดีว่า หมายถึงจะลงมือปล้นทรัพย์และฆ่าคน!
คนขับหญิงยังไม่ทันจอดรถให้นิ่ง โจรร้ายซึ่งนั่งข้างหลังรีบพันเชือกมัดคอของเธอ พร้อมเอามีดมาจ่อที่คอหอยและสั่งให้ลงรถ เพราะถ้าฆ่าตอนนี้ก็จะมีคราบเลือดติดบนรถ ทำให้ขายรถคันนี้ได้ยาก ซึ่งคนขับหญิงก็รู้ดีว่า ลงรถเป็นถูกฆ่าแน่นอนจึงไม่ยอมทำตาม
ในยามคับขันเช่นนี้ ความเฉลียวฉลาดและมีไหวพริบของคนขับหญิง ทำให้เธอรอดมาได้ โดยเธอได้โผเข้ากอดโจรร้ายและกล่าวว่า "อยากได้รถคันนี้ใช่ไหม รถนี่เป็นของบริษัทไม่ใช่เป็นของฉัน เอาอย่างนี้ดีมั๊ย สามีฉันทิ้งฉันไปหาสาวอื่นที่เมืองเฉิงตูเมื่อปีที่แล้ว พวกเราเอารถคันนี้ไปขายแล้วหนีไปด้วยกันดีกว่า"
ฝ่ายโจรได้ฟังก็ดีใจ เพราะได้ทั้งเงินและผู้หญิงจึงตกลง แต่พอดีจังหวะนั้น มีเสียงคนถีบจักรยานดังใกล้เข้ามา เธอแอบคิดในใจว่า ถ้าเป็นตำรวจก็คงช่วยเหลือเธอได้แน่ แต่ถ้าเป็นคนแก่ก็อย่าเพิ่งร้องเอะอะไปดีกว่า
อาจจะเป็นเพราะรู้สึกแปลกใจที่เห็นมีรถคันหนึ่งจอดริมทะเลสาบในตอนดึกมาก คนถีบจักรยานจึงจอดจักรยานก้มมองเข้ามาทางหน้าต่าง คนขับหญิงผู้นี้หลังจากเห็นได้ชัดเจนว่า คนที่ขี่จักรยานมาเป็นเพียงคนแก่ไม่มีเรี่ยวมีแรงนัก เธอจึงรีบเอ่ยปากไล่ทันทีว่า "มองอะไรกัน ไม่เคยเห็นคนรักกำลังจู๋จี๋กันเหรอ" เมื่อได้ยินเธอพูดอย่างนี้ยิ่งทำให้โจรร้ายมั่นใจว่า เธอพูดจริงจึงเริ่มระวังตัวน้อยลง แล้วจึงขับแท็กซีออกเดินทางต่อ
เธอขับรถก็พยายามมองสังเกตไปด้วย พอเห็นข้างหน้ามีแท็กซีคันหนึ่ง ก็เพิ่มความเร็วขึ้นไป ตอนกำลังจะแซงเธอสังเกตดูในรถเห็นว่า มีแต่คนขับคนเดียว เธอจึงประมาณการในใจว่า คนขับแท็กซีผู้นี้ตัวคนเดียวอาจจะไม่สามารถช่วยเธอได้ จึงขับรถแล่นต่อ เมื่อพบรถบรรทุกถ่านหินอีกคันหนึ่ง เธอเกิดความลังเลใจ แต่เพราะเห็นว่าคนขับรถบรรทุกส่วนใหญ่ต้องเดินทางไกลมาก คงไม่มีแรงพอที่จะต่อสู้เอาชนะคนร้ายได้จึงตัดใจไม่ขอความช่วยเหลือ
ขับต่อไปเจอรถคันที่ 3 เป็นรถกระบะ ท้ายรถมีผลไม้และชายหนุ่มนั่งมาถึง 4 คน รวมคนขับแล้วเป็น 5 คน เธอมั่นใจว่า โอกาสรอดร้องขอความช่วยเหลือมาถึงแล้ว จึงเหยียบคันเร่งแซงขึ้นไปเบียดเอาดื้อๆ ทำให้หนุ่ม 5 คนต่างโมโหพากันหยิบท่อนไม้ลงจากรถกระบะจะมาจัดการ คนขับแท็กซีหญิงจึงรีบร้องขอความช่วยเหลือ ทำให้เธอรอดมาได้ในท้ายที่สุดและยังสามารถจับโจรรายนี้ส่งถึงมือตำรวจได้ด้วย
ความสำเร็จในการช่วยตนเองให้รอดพ้นจากโจรร้ายของคนขับแท็กซีหญิงรายนี้สะท้อนให้เห็นว่า ความมีไหวพริบและความเฉลียวฉลาดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง คนเราต้องฝึกให้ตนเองสามารถตั้งสติไว้ไม่ว่าอยู่ในกรณีใด มีแต่คุมสติให้ได้ ไหวพริบปฏิภาณต่างๆ จึงจะเกิดตามมา นอกจากนั้น พยายามฝึกความสามารถในการสังเกตสิ่งแวดล้อมโดยรอบ โอกาสการเอาตัวรอดอาจจะมีขึ้นเพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้น อย่าปล่อยให้หลุดลอยไปอย่างเด็ดขาด