กรุงเทพฯ –เส้นทางสายไหมเดิมที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,000 ปี มีอิทธิพลต่อศิลปะ วัฒนธรรม และการหลอมรวมกันในทวีปยูเรเซียหรือที่ปัจจุบันรู้จักกันดีในชื่อทวีปยุโรปและเอเชีย

"เส้นทางสายไหมทางทะเล" มีสินค้าที่ขึ้นชื่ออยู่ 3 ชนิด ได้แก่ ผ้าไหม, ใบชาและเซรามิค สินค้าเหล่านี้ล้วนมีอิทธิพลต่อการพัฒนาด้านวัฒนธรรมและเศรษฐกิจของโลก เส้นสายไหมทางเศรษฐกิจใหม่ซึ่งรวมเอาเส้นทางสายไหมทางทะเลไว้ด้วยนั้น ได้กลายมาเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ระดับชาติที่สำคัญของประเทศจีน

เพื่อเป็นการส่งเสริมและเผยแพร่ความสำคัญในแง่ประวัติศาสตร์และความเป็นเอกลักษณ์ของเครื่องเซรามิคในเขตเส้นทางสายไหมในประเทศจีน จึงได้มีการจัดงานแสดงศิลปะ "เส้นทางสายไหมใหม่: เซรามิคจีนร่วมสมัย 2014" ขึ้น โดยทำการเปิดงานไปเมื่อวันที่ 10 ธันวาคมที่ผ่านมา ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศจีน กรุงเทพฯ โดยมุ่งเน้นไปที่การนำเสนอนวัตกรรมของเซรามิคร่วมสมัยใน 3 หัวข้อใหญ่ อันได้แก่ 1. ประวัติศาสตร์การกำเนิดของเซรามิค ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากเมืองซินผิง (新平）ในสมัยราชวงศ์ฮั่น (ปัจจุบันเมืองซินผิง มีชื่อเรียกว่าจิ่งเต๋อเจิ้น 景德镇 เป็นเมืองที่อยู่ในมณฑลเจียงซีของประเทศจีน) 2. ช่วงเวลาที่เซรามิคได้ออกเผยแพร่สู่สายตาของชาวโลก โดยเรือโกเธเบิร์กของชาวสวีเดนเข้าจอดที่ท่าของเมืองฝูเหลียง และ 3. โอกาสและความสำคัญทางเศรษฐกิจสำหรับ "เส้นทางสายไหมใหม่" การพัฒนาของศิลปะเซรามิคจีนและการสรรสร้างผลงานชิ้นสำคัญในหัวข้อ "ความฝันของประเทศจีน"

ในสมัยราชวงศ์เป่ยซ่งหรือซ่งเหนือ เป็นช่วงที่เต็มไปด้วยสงครามและการรุกรานจากชนเผ่าน้อยใหญ่ ประกอบกับความเจริญทางด้านเทคโนโลยีการเดินเรือ ทำให้เส้นทางสายไหมทางบกแบบดั้งเดิมเริ่มเปลี่ยนไปเป็นเส้นทางสายไหมทางทะเล ซึ่งเริ่มจากแม่น้ำออกไปที่มหาสมุทรเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปจนถึงยุโรป เรือสินค้าเซรามิคที่ใช้เส้นทางสายไหมทางทะเลนั้นมีจุดเริ่มต้นที่แม่น้ำชางหรือชางเจียง (昌江) ในเขตฝูเหลียง (浮梁) ไปที่แม่น้ำจิ่วหรือจิ่วเจียง (九江) และสุดท้ายออกไปที่ทะเลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราจึงกล่าวได้ว่า "ฝูเหลียง" เป็นต้นกำเนิดของเซรามิกจีนบนเส้นทางสายไหมทางทะเล "ฝูเหลียง"ไม่เพียงเป็นแหล่งผลิตและส่งออกเซรามิคจีนสู่ชาวโลก แต่ยังเป็นศูนย์กลางที่สำคัญในการรับและรวบรวมเซรามิคจากต่างประเทศอีกด้วย

ประเทศไทยเองก็เป็นส่วนหนึ่งในเส้นทางสายไหมทางทะเล รวมถึงมีหลักฐานเรื่องการแลกเปลี่ยนหัตถกรรมเซรามิคจากจีนมาเป็นระยะเวลามากกว่า 1,000 ปี การจัดนิทรรศการครั้งนี้คงจะช่วยให้ความรู้ ฟื้นฟูความทรงจำในอดีตรวมถึงแสดงให้เห็นถึงโอกาสสำหรับเส้นทางสายไหมทางทะเลใหม่และความร่วมมือกันในอนาคต

เรียบเรียงและรายงาน: อรอนงค์ อรุณเอก 林敏儿