เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมา มีการสัมมนาว่าด้วยเส้นทางสายไหมระหว่างจีนกับอาเซียนที่เมืองเซินเจิ้น เซิงเจิ้นเป็นหนึ่งในเมืองแรก ๆ ของจีนที่ปฏิรูปและเปิดประเทศ โดยเจ้าหน้าที่ นักวิชาการ ผู้สื่อข่าวจากจีนและ 10 ประเทศอาเซียนมาร่วมการสัมมนาซึ่งชุย อี๋เหมิง ผู้สื่อข่าวภาคภาษาไทยซีอาร์ไอก็ไปร่วมด้วย และได้สัมภาษณ์ดร.โภคิน พลกุล อดีตประธานรัฐสภา นายกสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีนซึ่งได้วิเคราะห์บทบาทและข้อได้เปรียบของไทยจากหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางพร้อมทั้งประเมินความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีนในโอกาสครบรอบ 40 ปีรวมถึงเล่าความประทับใจที่มีต่อเมืองเซินเจิ้นด้วย

ผู้สื่อข่าวภาคภาษาไทยซีอาร์ไอ:

หลายเดือนมานี้ มีรายงานข่าวว่า มีพฤติกรรมที่ไม่สุภาพของนักท่องเที่ยวทั้งสองประเทศ อาทิ นักท่องเที่ยวจีนอาละวาดอยู่บนเครื่องบิน ส่วนนักท่องเที่ยวไทยก็สลักชื่อของตนอยู่บนอิฐของกำแพงเมืองจีน ท่านมีข้อเสนอต่อนักท่องเที่ยวไทย-จีนอะไรบ้างไหมในการแกไข้ปัญหานี้

ดร.โภคิน พลกุล:

โลกสมัยใหม่ต้องไปมาหาสู่กัน บางทีเราพยายามกีดกัน เพราะเราเป็นห่วงว่าคนไม่ดี แต่ในโลกนี้คนไม่ดีมีน้อย

ดังนั้นผมเชื่อว่าเป็นเรื่องธรรมดาระยะแรก ๆ อย่างคนจีนเขาไม่เคยไปต่างประเทศ วันนี้ได้ไป ก็อาจจะมีวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมซึ่งเป็นเรืองปกติ แต่วัฒนธรรมที่เป็นสากลก็เป็นอีกแบบหนึ่ง ก็เป็นเรื่องต้องปรับตัว ทางการจีนเมื่อปีที่แล้วก็ออกกฎไม่ให้ฉีดไปสาดน้ำ ไม่ให้ไปทิ้งสิ่งสกปรกอย่างนี้ ซึ่งอันนี้ก็เข้าใจต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งปรับตัว ทางจีนก็เข้มงวดด้วย

ไทยกับจีนต้องรวมมือกัน จัดการคนไม่ดีให้เขาอยู่ในกรอบที่เหมาะสมได้ คนดี ๆ จะได้ไปไหนมาไหนสบาย สะดวก

ส่วนเรื่องที่ไปเขียนในกำแพงเมืองจีน คงไม่ใช่เฉพาะคนไทย ยุโรปก็เป็นหมด ตรงก็ต้องช่วยกันรณรงค์ มีคนคอยสอดส่องดูแลนิดหนึ่ง หรือบางทีคนก็แปลกนะ ในยุโรปก็เยอะนะ บางสถานที่ที่เขาเก่าแก่ ก็ขอไปจารึกชื่อฉันมาถึงแล้ว ก็ไม่ควรกระทำ เพราะทำให้ของเสียหาย ก็คงจะต้องให้ทางฝ่ายไทยซึ่งความจริงเขาก็ระมัดระวังอยู่แล้ว แต่บางทีนักท่องเที่ยวที่ไม่รับผิดชอบบางคนก็ทำเสียหายได้

โดยรวมนักท่องเที่ยวไทย ค่อนข้างจะสากลมากกว่า อันนี้ไม่ได้พูดแปลว่าดีกว่าหรือไม่ดีกว่า เพราะอาจคุ้นเคยต่อการออกไปนอกประเทศมากกว่า จีนก็ต้องช่วยกัน

(Cui)