หนังสือพิมพ์เหรินหมินรึเป้ารายงานว่า วันที่ 2 กรกฎาคมนี้ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนติดต่อทางโทรศัพท์กับนายโจโก วิโดโด ประธานาธิบดีอินโดนีเซียเพื่อแสดงความเสียใจเครื่องบินอินโดนีเซียตก วันที่ 30 มิถุนายนนี้ เครื่องบินลำเลียง C-130 ของอินโดนีเซียลำหนึ่งตกในย่านชุมชมที่เมืองเมดาน (Medan) จังหวัดสุมาตราเหนือ จนถึงขณะนี้ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 141 คน สถิติจากมูลนิธิความปลอดภัยในการบินระหว่างประเทศระบุว่า อุบัติเหตุครั้งนี้นับเป็นการสูญเสียเครื่องบินลำเลียง C-130 ลำที่ 3 ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา และเป็นครั้งที่ 10 ที่อินโดนีเซียเกิดเหตุเครื่องบินรบตกในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

ตั้งแต่ทศวรรษ 1950 เป็นต้นมา กองทัพอากาศอินโดนีเซียได้รับเครื่องบินลำเลียง C-130 กว่า 50 ลำ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเครื่องบินที่สหรัฐฯและออสเตรเลียเลิกใช้ อุบัติเหตุครั้งนี้จึงทำให้ชาวอินโดนีเซียต้องพิจารณาเรื่องที่ยุทโธปกรณ์ที่คร่ำครึ่ สถิติระบุว่า ค่าใช้จ่ายทางทหารของอินโดนีเซียในปี 2014 เป็น 1 ใน 5 ของค่าใช้จ่ายทางทหารทั้งหมดของประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่เป็นแค่ 0.8% ของจีดีพีอินโดนีเซีย นับเป็นสัดส่วนต่ำที่สุดในภูมิภาคนี้ หลังดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อปีที่แล้ว นายโจโก วิโดโดประกาศจะเพิ่มงบประมาณทางทหารให้ถึง 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯก่อนปี 2020 นักวิเคราะห์เห็นว่า ขณะที่ทางการอินโดนีเซียตรวจสอบเหตุการณ์เครื่องบินตกครั้งนี้ ยังจะเร่งกระบวนการสร้างความทันสมัยให้กองทัพเร็วขึ้น

หลังเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ นายโจโก วิโดโดได้สั่งให้ตรวจสอบระบบป้องกันของทั่วประเทศ และให้เร่งกระบวนการสร้างความทันสมัยด้านยุทโธปกรณ์โดยเร็ว นักวิจัยศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศอินโดนีเซียเห็นว่า รัฐบาลนายโจโก วิโดโดผลักดันแผนยุทธศาสตร์เสริมศักยภาพทางทะเลของรัฐ โดยการสร้างความทันสมัยให้ระบบป้องกันประเทศเป็นงานสำคัญที่สุด