หนังสือพิมพ์เหรินหมินรึเป้ารายงานว่า เมื่อสิ้นปี 2015 ที่ผ่านมา ได้มีการประกาศก่อตั้งประชาคมอาเซียนขึ้นอย่างเป็นทางการ ทำให้อาเซียนก้าวเข้าใกล้เป้าหมายที่จะเป็นตลาดเดียวกันมากขึ้น เพื่อให้สินค้า การบริการ การลงทุน ต้นทุนและแรงงานทางเทคโนโลยีในส่วนภูมิภาคเคลื่อนไหวอย่างเสรี ธุรกิจโลจิสติกส์ข้ามชาติจะแสดงบทบาทมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ไทยตั้งอยู่ในศูนย์กลางทางภูมิประเทศของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงมีส่วนที่ได้เปรียบที่พัฒนากลายเป็นศูนย์กลางกระจายสินค้าของอาเซียน ขณะนี้ มูลค่าการผลิตของธุรกิจโลจิสติกส์ของไทยเป็นประมาณร้อยละ 15-17ของผลิตภัณฑ์มวลรวมการผลิตภายในประเทศ โดยเฉพาะช่วงปีหลังๆ มานี้ ธุรกิจอี-คอนเมิร์ชของไทยได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็ว นับเป็นแรงกระตุ้นการเติบโตของธุรกิจโลจิสติกส์
เนื่องจากการพัฒนามีแนวโน้มที่ดี ทำให้ธุรกิจโลจิสติกส์ของไทยนอกจากพัฒนาตลาดภายในประเทศแล้ว การไปรษณีย์ไทยยังร่วมมือกับบริษัทค้าปลีกทำการทดลองจำหน่ายสินค้าออนไลน์ และทำธุรกิจโลจิสติกส์ โดยนำสินค้าไทยไปจำหน่ายในกัมพูชา ลาวและเมียนมาร์ ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการค้าและพัฒนาแห่งสหประชาชาติระบุว่า การให้เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตไม่เพียงแต่ต้องอาศัยความต้องการภายในประเทศเท่านั้น หากยังต้องให้ความสำคัญกับตลาดกัมพูชา ลาว เมียนมาร์และเวียดนาม เป็นต้น ปีนี้ ธุรกิจค้าปลีกข้ามชาติจะกลายเป็นดาวรุ่งดวงหนึ่งในการพาณิชย์ของไทย
ขณะนี้ อาเซียนมีมาตรการการค้าที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากร(Non-tariff Measures)มากมายหลายอย่าง จึงทำให้การส่งสินค้าล่าช้า และได้เพิ่มต้นทุนการค้าข้ามชาติในภูมิภาคนี้ มาตรการที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากรประกอบด้วยการควบคุมบริหารชายแดนในประเภทที่ต่างกัน ความต้องการเข้าสู่ดินแดนพิเศษ มาตรฐานความปลอดภัย การควบคุมราคา ข้อจำกัดแหล่งผลิตเดิม ถึงแม้การค้าข้ามชาติระหว่างประเทศอาเซียนมีร้อยละ 95 มีสิทธิพิเศษในการปลอดภาษี แต่มาตรการที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากรยังคงกลายเป็นการท้าทายต่อการค้าข้ามชาติระหว่างกัน