1. ศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศมองข้ามความเป็นจริง รับฟังหลักฐานจากฟิลิปปินส์เพียงฝ่ายเดียว
ศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศมองข้ามความเป็นจริง คือ ฟิลิปปินส์ล่วงล้ำอธิปไตยเหนือดินแดนของจีนจนก่อให้เกิดกรณีพิพาททางทะเล โดยพิพากษาผิดว่าการร้องเรียนของฟิลิปปินส์ไม่ใช่เกิดจากข้อพิพาทเกี่ยวกับอธิปไตย ศาลฯ เชื่อฟังคำฟ้องและหลักฐานต่างๆ ที่ยื่นโดยฟิลิปปินส์โดยไม่ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นการผิดต่อหน้าที่ ถือเป็นความผิดใหญ่ในด้านการยืนยันข้อเท็จจริงของเอกสาร ดังนั้น การตัดสินคดีตามหลักฐานที่ไม่ได้ผ่านการยืนยันว่าจริงหรือไม่นั้น ถือว่าขาดความเที่ยงธรรมและไม่มีผลบังคับใช้ทางกฎหมาย
2. คำอธิบายและการอ้างอิงกฎหมายของศาลฯ มีความผิดอย่างชัดเจน ถือเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของสนธิสัญาว่าด้วยกฎหมายทางทะเลแห่งสหประชาชาติ
ก่อนอื่น คำร้องเรียนของฟิลิปปินส์แท้ที่จริงแล้วเป็นเรื่องเกี่ยวกับอธิปไตยเหนือดินแดน ศาลอนุญาโตตุลาการไม่มีอำนาจตัดสินเรื่องนี้ ข้อที่ 2 คำร้องเรียนของฟิลิปปินส์ได้ถูกระบุไว้ในคำแถลงของจีนเมื่อปี 2006 ว่า ศาลโลกไม่มีสิทธิ์ตัดสิน เนื่องจากมาตรา 298 เกี่ยวกับกรณีที่ไม่ควรจัดเข้ากระบวนการบังคับซึ่งระบุในสนธิสัญญาว่าด้วยกฎหมายทางทะเลแห่งสหประชาชาติ รวมถึงกรณีพิพาทอันเกิดจากการปักปันน่านน้ำทะเล ซึ่งมิเพียงแต่หมายถึงการปักปันเขตแดนทางทะเล หากยังรวมถึงปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น อธิปไตยเหนือเกาะหรือหินโสโครก ตลอดจนสิทธิประโยชน์ทางทะเล แต่ศาลอนุญาโตตุลาการกลับอธิบายว่า กรณีพิพาทเกี่ยวกับการปักปันน่านน้ำทะเล คือ กรณีพิพาทเกี่ยวกับการปักปันเขตแดนทางทะเล ซึ่งทำให้กรณีพิพาทที่ไม่ควรถูกจัดเข้ากระบวนการบังคับมีขอบเขตแคบลง จึงฝ่าฝืนมาตรา 298 ดังกล่าว เป็นการให้คำอธิบายผิด และสวนทางกับวัตถุประสงค์ของการสร้างกระบวนการบังคับเพื่อแก้ไขกรณีพิพาท ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อระเบียบกฎหมายทางทะเลที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานสนธิสัญญาว่าด้วยกฎหมายทางทะเลแห่งสหประชาชาติ
3.ศาลอนุญาโตตุลาการริดรอนสิทธิ์ของจีนและฟิลิปปินส์ในการแก้ไขกรณีพิพาทเกี่ยวกับการปักปันเขตแดนทางทะเลด้วยการปรึกษาหารือ
แนวชายทะเลระหว่างจีนกับฟิลิปปินส์ไม่ถึง 400 ไมล์ทะเล แต่มี 200 ไมล์ต้องการปักปันเขตแดน เพราะทับซ้อนกันในเขตเศรษฐกิจเฉพาะและไหล่ทวีป มาตรา 15，74 และ 83 ของสนธิสัญญาว่าด้วยกฎหมายทางทะเลแห่งสหประชาชาติต่างระบุว่าควรให้ประเทศคู่กรณีหารือกันเพื่อตกลงเรื่องการปักปันเขตแดนทางทะเล เป็นการมอบอำนาจให้คู่ดรณีจัดการปัญหาด้วยตนเอง ยกเว้นคู่กรณีไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยตนเองและต้องการฝ่ายที่สามเข้าก้าวก่าย จึงจะเข้าสู่กระบวนการบังคับ
ศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศมองข้ามคำแถลงของจีนยืนกรานที่จะจัดการปัญหาเกี่ยวกับฐานะทางกฎหมายของเกาะและหินโสโครกที่จีนกับฟิลิปปินส์มีข้อขัดแย้งกันก่อนสองฝ่ายจะดำเนินการเจรจากัน ถือเป็นการก้าวก่ายปัญหาการปักปันเขตแดนระหว่างสองประเทศ เป็นการริดรอนสิทธิ์ของสองฝ่ายในการแก้ไขกรณีพิพาทเกี่ยวกับการปักปันเขตแดนทางทะเลด้วยการปรึกษาหารือกัน
สรุปแล้วคือความได้ว่า คำพิพากษาของศาลอนุญาโตตุลาการเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว ผิดอย่างชัดเจน และไม่มีผลบังคับใช้ทางกฎหมาย ในด้านการยืนยันข้อเท็จจจริง ศาลฯ ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบอย่างละเอียดตามความเป็นจริง ในด้านการอธิบายข้อกฎหมาย ศาลฯ ใช้อำนาจเกินขอบเขต ก้าวก่ายปัญหาอธิปไตยเหนือดินแดนและการปักปันเขตแดนทางทะเล หมายจะหลบหลีกคำแถลงของจีนโดยเจตนาร้าย และขยายขอบเขตอำนาจของตนตามอำเภอใจ การกระทำเช่นนี้แทนที่จะแก้ปัญหาตามข้อกำหนดในสนธิสัญญาว่าด้วยกฎหมายทางทะเลแห่งสหประชาติ กลับเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของสนธิสัญญาฯ ซึ่งจะก่อให้เกิดกรณีพิพาทและการยื่นฟ้องตามอำเภอใจมากขึ้น จึงไม่เป็นผลดีต่อการรักษาความมั่นคงและการพัฒนาของระเบียบกฎหมายทางทะเลระหว่างประเทศ สมาคมนักกฎหมายทางทะเลแห่งประเทศจีนสนับสนุนรัฐบาลจีนใช้ท่าทีไม่ยอมรับผลการตัดสินที่ไม่เที่ยงธรรม ไร้เหตุผลและฝ่าฝืนกฎหมายระหว่างประเทศของศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ เพื่อพิทักษ์อธิปไตย บูรณภาพเหนือดินแดนและสิทธิประโยชน์ทางทะเลของจีนอย่างเด็ดเดี่ยว
