หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ เป็นต้นมา มีการคาดการณ์ว่า ความร่วมมือด้านการทหารระหว่างพันธมิตรญี่ปุ่น-สหรัฐฯ จะเกิดการเปลี่ยนแปลง ทหารสหรัฐฯ ประจำญี่ปุ่นจะมีภารกิจใหม่ขณะที่ฝ่ายญี่ปุ่นจะเสริมกำลังป้องกันตนเอง ซึ่งจะส่งผลอย่างลึกซึ้งต่อสถานการณ์ความมั่นคงของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
ก่อนและหลังนายเจมส์ แมตติสเยือนญี่ปุ่น ฐานทัพสหรัฐฯ ประจำญี่ปุ่นมีการโยกย้ายกำลังรบบ่อยๆ เช่น ก่อนนายแมตติสเยือนญี่ปุ่น 1 วัน สหรัฐฯ จัดวางเครื่องบินเตือนภัยที่ฐานทัพอเมริกาในภาคตะวันตกของญี่ปุ่น หลังจากนายแมตติสเดินทางถึงญี่ปุ่นแล้ว นายโยชิฮิเดะ ซูกะ หัวหน้าคณะเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเรียกร้องให้ทางการท้องถิ่นให้ความร่วมมือกับการโยกย้ายกำลังรบของสหรัฐฯ
สื่อมวลชนญี่ปุ่นเห็นว่า เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองของเกาหลีใต้ไม่มั่นคง หากพันธมิตรสหรัฐฯ-เกาหลีใต้เกิดปัญหา ทหารสหรัฐฯ ประจำญี่ปุ่นอาจต้องรับหน้าที่แทนทหารประจำเกาหลีใต้บางส่วน ทหารสหรัฐฯ ประจำญี่ปุ่นซึ่งเดิมเป็นฝ่ายหนุนหลังอาจจะต้องไปปฏิบัติหน้าที่แนวหน้า
หลังจากญี่ปุ่นประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ที่มุ่งฟื้นฟูสิทธิป้องกันตนเองเมื่อเดือนมีนาคมปี 2016 เป็นต้นมา ญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ เร่งสร้างความเป็นหนึ่งเดียวทางทหาร ญี่ปุ่นยังวางแผนจะนำระบบป้องกันขีปนาวุธ THAAD ไปจัดวางภายในประเทศ หมายจะช่วยสหรัฐฯ สร้างเครือข่ายป้องกันขีปนาวุธโดยอาศัยเกาะกวม เกาหลีใต้และญี่ปุ่นเป็นฐานทัพ
นอกจากนี้ ญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ ยังขยายฐานทัพร่วมของกองกำลังป้องกันตนเองกับทหารสหรัฐฯ ประจำญี่ปุ่น อีกทั้งเน้นความสำคัญของการเสริมกำลังป้องกันตนเอง
หลังจากนายชินโซะ อาเบะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเมื่อปี 2012 เป็นต้นมา เขาได้จัดสรรงบประมาณป้องกันประเทศเพิ่มขึ้นต่อเนื่องกัน 5 ครั้ง นายอาเบะกล่าวระหว่างพบกับนายแมตติสว่า ญี่ปุ่นมีแผนจะจัดสรรงบประมาณมากขึ้นต่อไปภายใต้กรอบพันธมิตรรักษาความมั่นคงญี่ปุ่น-สหรัฐ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เคยเรียกร้องให้ญี่ปุ่นเพิ่มงบประมาณทางทหารหลายครั้ง สื่อมวลชนญี่ปุ่นจึงเห็นว่า ควรถือโอกาสนี้ปรับปรุงระบบป้องกันตนเองของญี่ปุ่น และยังมีสมาชิกพรรคเสรีประชาธิปไตยญี่ปุ่นพูดอย่างโจ่งแจ้งว่า เวลานี้คือโอกาสดีสำหรับการเสริมกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่น