วันนี้ เราสองคนจะเล่าเนื้อหาเกี่ยวกับ "3 สิ่งที่พ่อแม่ผู้ปกครองต้องสอนให้ลูกน้อยเรียนรู้" ถึงแม้ว่าลูกจะยังเล็กมากก็ตามที ไม่ทราบว่าคุณผู้ฟังเดาถูกหรือไม่คะว่าคือ 3 สิ่งใดบ้าง คิตตี้จะเล่าเรื่องก่อนคือ ในเขตชุมชุนของบ้านพักของคิตตี้ มีคุณย่าคนหนึ่งรักหลานชายของตนมาก รักแบบตามใจให้ทุกอย่างโดยไม่มีเงื่อนไข เมื่อสามวันก่อน หลานของคุณย่าคนนี้เล่นกับเด็กอื่นๆ ในเขตชุมชน แล้วเชือกผูกรองเท้าของตนหลุดออก หลานคนนี้ก็รีบเรียกย่าด้วยเสียงอันดังว่า คุณย่า เชือกผูกรองเท้าของผมหลุด ขณะนั้น คุณย่าคนนี้ยังช่วยถือขนมและของเล่นต่างๆ ของหลานอยู่ ไม่มีมือว่างที่จะช่วยผูกเชือกรองเท้า แต่หลานก็ยืนอยู่นิ่งๆ และพูดเร่งไม่ขาดปากว่า คุณย่าเร็วๆ หน่อย ผูกเชือกรองเท้าให้หน่อย เพื่อนๆ ต่างก็วิ่งกันไปไกลแล้ว
เมื่อคิตตี้ได้ยินได้เห็นสภาพนี้ ก็ตกใจมากๆ รู้สึกว่า เด็กคนนี้มีอายุเกือบ 6 ปีแล้ว แต่ยังผูกเชือกรองเท้าไม่เป็น คิตตี้จึงทนไม่ไหว แล้วพูดกับคุณย่าว่า คุณย่าดูแลหลานดีมากไป การผูกเชือกรองเท้าไม่ควรต้องช่วยเขาทำ คุณย่าก็พูดด้วยความสุขใจว่า หลานยังอายุน้อย เมื่อเติบโตขึ้นอีกหน่อยก็จะผูกเชือกรองเท้าของตนได้เอง ตอนนี้ถ้าเขายังต้องการความช่วยเหลือก็อยากทำให้
แม้ในความเป็นจริง เด็กคนนี้ยังอายุน้อยจริง แต่ว่าในอายุที่สามารถคิดและทำสิ่งนี้ด้วยตนเองได้แล้ว ผู้ปกครองกลับยังคอยช่วยเหลือ ช่วยทำและตัดสินใจให้อยู่ ถือเป็นการกระทำที่ไม่รับผิดชอบต่อลูกอย่างมากถึงมากที่สุด
นายฌอง ฌาค รุสโซ นักการศึกษาชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงในโลกเคยกล่าวว่า รู้หรือไม่ว่าพ่อแม่ผู้ปกครองทำอย่างไรแล้ว จะทำให้ลูกหลานของคุณกลายเป็นคนที่โชคร้าย คำตอบก็คือ เชื่อฟังและตามใจลูกหลานทุกสิ่งอย่าง
และเมื่อเด็กโตขึ้นแล้วก็จะดีขึ้นจริงหรือ?ความจริง ชีวิตความเป็นอยู่ของแต่ละคนสลับซับซ้อนมาก จีนเคยมีข่าวว่า ชายแซ่เฉินอายุ 40 ปีที่ยังเป็นโสด ขณะทานข้าวที่บ้าน ได้ทะเลาะมีปากเสียงกับพ่อที่มีอายุกว่า 70 ปี และได้เทชามที่มีข้าวอยู่เต็มลงบนหัวของพ่อเขา พอตำรวจมาถึงบ้าน ผู้เป็นพ่อที่มีลูกชายอายุ 40 ปีแล้วนั้น กลับบอกให้ตำรวจ แค่พูดตักเตือนให้หน่อยก็พอ เพราะเห็นว่าลูกตนยังเป็นเด็กอยู่ คือ ผู้เป็นพ่อเห็นว่าเพราะลูกแม้จะวัย 40 ปีแล้ว แต่ยังไม่ได้แต่งงานมีครอบครัว จึงยังเป็นเด็กที่อยู่ในการดูแลของตนอยู่
หลายคนที่เห็นข่าวเรื่องนี้แล้ว บอกรู้สึกทั้งเศร้าเสียใจและหมดหวัง เพราะว่ามีหลายครั้งที่ผู้ปกครองบางคน ไม่ได้ตระหนักถึงว่าตนรักลูกโดยไม่มีเงื่อนไขมากเกินไป จึงทำให้ลูกมีความเคยชินที่พึ่งพาพ่อแม่มากเกินกว่าเหตุ พอลูกเติบโตขึ้นและอยากจะปรับปรุงแก้ไขก็อาจสายไปแล้ว ไม่เช่นนั้น ที่จีนก็คงไม่มีข่าวว่า มีหนุ่มอายุ 23 ปีที่มีแขนขาครบ และจิตใจปกติ แต่กลับต้องหิวจนตายในบ้าน
ใช่ค่ะ พ่อแม่ผู้ปกครองไม่สามารถเป็นที่พึ่งให้กับลูกได้ตลอดทั้งชีวิตของเขา ไม่ควรคิดจะช่วยทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ลูกหมด เสียสละตัวเองทุกอย่างเพื่อลูก รวมทั้งความคิดที่จะมอบความสุขของตัวเองทั้งหมดให้เป็นของขวัญลูก จะเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด
ดังนั้น ควรให้ลูกเรียนรู้ที่จะเป็นอิสระ จึงจะเป็นความรับผิดชอบต่ออนาคตของลูก พ่อแม่ผู้ปกครองต้องลองปล่อยมือ แล้วให้โอกาสกับการเติบโตของลูก ถ้าเลี้ยงลูกไปตลอดทั้งชีวิตเขาไม่ได้ ก็ไม่ควรตามใจลูกโดยไม่มีเงื่อนไขตั้งแต่อายุน้อย ควรให้ลูกทำในสิ่งที่ควรทำในเวลาที่เหมาะสม
ประการแรกก็คือ สอนให้ลูกเรียนรู้ที่จะทานข้าวและใส่เสื้อผ้าด้วยตนเอง ซึ่งเป็นการดูแลตัวเองขั้นพื้นฐานที่สุด ทุกครั้งที่พ่อแม่ผู้ปกครองป้อนข้าวลูก และช่วยติดกระดุมเสื้อผ้าให้ลูกต่างเป็นสิ่งกีดขวางต่อการเติบโตของลูก ปัญหาที่แฝงอยู่เหล่านั้นก็จะปรากฏออกมาหลังจากเข้าเรียนโรงเรียนอนุบาล
ใช่ค่ะ เพื่อนของคิตตี้ก็เคยบอกกับคิตตี้ว่า ครูของลูกชายในโรงเรียนอนุบาลก็ให้เธอให้ความสำคัญกับปัญหาการสั่งสอนในครอบครัว เพราะว่าลูกชายของเพื่อนเป็นลูกคนเดียว ดังนั้น พ่อแม่ปู่ย่าตายายต่างก็รักลูกโดยไม่มีเงื่อนไข ทำให้ลูกชายของเพื่อนก็เหมือนตุ๊กตาที่แค่หายใจด้วยตนเองทุกวัน เพราะสิ่งอื่นๆ ต่างก็มีคนช่วยทำให้ เช่น ป้อนข้าว เทน้ำ และใส่เสื้อผ้าให้ และเป็นอย่างนี้เป็นเวลานานจนกลายเป็นความเคยชิน ทำให้ลูกไม่ยอมทำอะไรมีแต่รอผู้ใหญ่มาช่วยทำ ส่วนสิ่งที่ลูกทำก็คือ กลืนข้าว ยืดแขน ยืดขา และบอกความต้องการของตนเท่านั้น เช่น ผมต้องการนี่ ต้องการโน่น ก็จะมีผู้ใหญ่รีบมาช่วยทำให้ ดังนั้น ขณะที่เด็กอื่นๆ ต่างก็กินอิ่มแล้วไปเล่น เด็กที่กินข้าวด้วยตนเองไม่เป็นในโรงเรียนอนุบาลยังลังเลว่าจะกินข้าวเองอย่างไร ดังนั้น เมื่อทุกวันเป็นแบบนี้ จึงทำให้เด็กไม่ชอบไปโรงเรียนอนุบาล
Yim/kt