รายงานฉบับหนึ่งของสถาบันกุมารเวชศาสตร์สหรัฐอเมริกาที่ประกาศเมื่อเร็วๆ นี้ว่า ยกเว้นว่าคุณหมอแนะนำเท่านั้น มิฉะนั้นแล้วคุณพ่อคุณแม่อย่าให้เด็กทารกที่อายุไม่ถึง 1 ขวบกินน้ำผลไม้จะดีกว่า
โดยก่อนหน้านี้ สถาบันกุมารเวชศาสตร์สหรัฐอเมริกาแนะนำมาตลอดว่าอย่าให้เด็กทารกที่มีอายุต่ำกว่า 6 เดือนกินน้ำผลไม้ แต่จากหลักฐานมากมายแสดงให้เห็นว่าการกินน้ำผลไม้ เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เด็กอ้วนและมีฟันผุ ดังนั้น จึงมีการตกลงใหม่ว่า แนะนำให้อายุการกินน้ำผลไม้ของเด็กทารกขยับขึ้นจากอายุ 6 เดือนเป็นอายุ 1 ขวบ
1. ผลดีและผลเสียจากการกินน้ำผลไม้
ถ้ามองจากแง่มุมตามหลักวิทยาศาสตร์และสุขภาพ การกินน้ำผลไม้ไม่ค่อยดีกับเด็ก ความจริงก็เช่นเดียวกันกับผู้ใหญ่ เพราะปัญหาสำคัญของน้ำผลไม้ส่วนใหญ่ก็คือ การกินน้ำผลไม้จะทำให้ร่างกายรับน้ำตาลมากเกินไปได้ง่าย โดยเฉพาะเด็กๆ นอกจากนี้ การกินน้ำผลไม้มากเกินไปจะทำให้เด็กกินผลไม้ลดน้อยลง ซึ่งก็เท่ากับว่าได้ปริมาณเส้นใยอาหารลดน้อยลงตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม สถาบันกุมารเวชศาสตร์อเมริกันเห็นว่า ถ้าเด็กกินน้ำผลไม้ในปริมาณที่พอเหมาะพอควรก็ไม่มีปัญหา และเป็นหนึ่งในวิธีการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพที่สามารถยอมรับได้ด้วย
ดังนั้น อย่างเช่นคำพูดของคุณแม่ท่านนั้นข้างต้น ซึ่งเธอเห็นว่าจะไม่ให้ลูกกินน้ำผลไม้อย่างเด็ดขาด เป็นเรื่องที่เกินไปแน่นอน และขอเพิ่มเติมอีกนิดหน่อยว่า น้ำผลไม้มีรสชาติดี ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ต่างก็ชอบ ซึ่งการชอบกินและสอดคล้องกับความชอบของลิ้นและปาก เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติของมนุษย์ ดังนั้น ไม่ควรห้ามกินน้ำผลไม้เลยเพราะเหตุผลว่าเพื่อสุขภาพ แต่ควรให้เป็นไปตามหลักโภชนาการที่สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์และสมเหตุสมผลจะดีกว่า
2. กินน้ำผลไม้อย่างไรจึงดีต่อสุขภาพ
วันนี้ เรามีคำแนะนำขององค์การที่เกี่ยวข้องมาบอกเล่า เพื่อให้พ่อแม่ผู้ปกครองใช้เป็นแนวทางสำหรับการกินน้ำผลไม้ของเด็ก
(1) สำหรับทารก – ตามคำแนะนำข้างต้น คือ ทารกที่อายุต่ำกว่า 6 เดือนให้กินน้ำผลไม้ไม่ได้ ส่วนทารกวัย 6 - 12 เดือน ก็แนะนำว่าอย่าเพิ่งให้กินน้ำผลไม้ด้วยจะดีกว่า เพราะอาจจะส่งผลกระทบต่อการกินอาหารเสริม ส่วนทารกวัย 12 เดือนขึ้นไปสามารถให้กินน้ำผลไม้ได้แล้ว แต่ถึงอย่างไร ที่สำคัญพ่อแม่ผู้ปกครอง ก็ควรส่งเสริมให้เด็กกินผลไม้(ผลไม้บด)จะดีกว่า ไม่ควรเป็นน้ำผลไม้ล้วน
(2) สำหรับเด็กเล็กและวัยรุ่น – ควรจำกัดปริมาณการกินน้ำผลไม้อย่างเข้มงวด สำหรับเด็กอายุ 1-6 ขวบ ไม่ควรกินน้ำผลไม้เกินกว่า 120-180 มิลลิลิตรต่อวัน สำหรับเยาวชนอายุ 7-18 ปี ไม่ควรกินน้ำผลไม้เกิน 240-360 มิลลิลิตรต่อวัน
(3)การกินน้ำผลไม้ควรเป็นน้ำผลไม้แท้ๆ ไม่ควรเป็นเครื่องดื่มรสผลไม้ เพราะว่าเครื่องดื่มแบบนี้จะมีสารเติมแต่ง เช่น น้ำตาลหรือสารให้ความหวาน เป็นต้น ซึ่งไม่มีความจำเป็นสำหรับเด็ก
(4) ขณะกินน้ำผลไม้ ไม่ว่าใช้ขวดนมหรือใส่ถ้วยให้ดื่ม ต่างก็ต้องหลีกเลี่ยงที่จะให้เด็กกินเป็นเวลานาน คือ ถ้าจะกินน้ำผลไม้ก็ไม่ใช่อมหรือเล่นไปกินไป และควรให้เด็กแปรงฟันหรือบ้วนปากหลังการกินด้วยจึงจะดี เพราะจะลดอัตราการเกิดฟันผุได้
(5) สามารถเติมน้ำเปล่าเพื่อเจือจางความเข้มข้นของน้ำผลไม้
(6) ต้องควบคุมให้ดีว่า หลังจากทารกและเด็กเริ่มกินน้ำผลไม้แล้ว ไม่ได้ลดปริมาณการกินนมและน้ำเปล่าของทุกวัน มิเช่นนั้น ก็ต้องลดปริมาณการกินน้ำผลไม้
(7) ไม่ว่าหญิงตั้งครรภ์หรือเด็กทารก ถ้าอยากจะกินน้ำผลไม้ตามร้านค้าที่ไม่ใช่คั้นสดใหม่ในบ้านเอง จำเป็นต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็นพาสเจอร์ไรซ์ เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดท้องเสีย ส่วนการกินน้ำผลไม้ที่จะคั้นเองที่บ้าน ก็จำเป็นต้องล้างผลไม้และภาชนะที่จะใช้ให้สะอาดเช่นกัน
สรุปได้ว่า สิ่งสำคัญที่สุดที่จะให้เด็กกินน้ำผลไม้ก็คือ ควบคุมเรื่องปริมาณให้ไม่เกินวันละ 180 มิลลิลิตร และคุณพ่อคุณแม่ควรดูแลเรื่องความสะอาดให้ดีๆ ในการทำน้ำผลไม้ให้ลูกด้วย แค่นี้ก็โอเคแล้วค่ะ
3. ประโยชน์ของน้ำผลไม้
เนื้อหาที่กล่าวแนะนำข้างต้น เป็นการจัดการเรื่องการกินน้ำผลไม้ของเด็กในชีวิตประจำวัน แต่ยังมีสภาพหนึ่งที่เป็นพิเศษคือ ในขณะที่เด็กป่วย น้ำผลไม้จะมีประโยชน์มาก
ประโยชน์ข้อแรกคือ (1) แก้ท้องผูก ขณะที่ทารกวัยไม่ถึง 3 เดือนมีอาการท้องผูก สามารถให้น้ำแอปเปิ้ลหรือน้ำสาลี่แก่ทารกทานวันละไม่เกิน 30 มิลลิลิตร ส่วนถ้ามีอายุมากกว่า 3 เดือนก็ให้เป็นวันละ 90 มิลลิลิตร
(2) แก้ไอ สำหรับทารกวัย 3 -12 เดือน ถ้าเด็กทารกไอจะให้กินน้ำอุ่นหรือน้ำแอปเปิ้ล ครั้งละ 5-15 มิลลิลิตร และวันละไม่เกิน 4 ครั้ง ซึ่งจะช่วยลดอาการไอลงได้ ส่วนเด็กอายุมากกว่า 1 ขวบ อาจจะใช้น้ำผึ้งมาแก้ไอแทน เพราะจะมีประสิทธิภาพดีกว่าน้ำผลไม้ แต่สำหรับเด็กทารกที่มีอาการท้องเสีย มีไข้สูง ขาดสารอาหาร ขาดวิตามินเป็นต้น การให้กินน้ำผลไม้จะไม่เกิดประโยชน์
สิ่งสุดท้ายที่ต้องขอเน้นย้ำคือ น้ำผลไม้ไม่ได้มีสรรพคุณดีเลิศแบบครอบจักรวาล ถ้ามีใครมาบอกว่าควรให้เด็กทารกกินน้ำผลไม้ยี่ห้อนี้จะทำให้เด็กฉลาดและเติบโตอย่างมีสุขภาพดีมากยิ่งขึ้น คุณพ่อคุณแม่อย่าหลงเชื่อ เพราะว่าเป็นการโฆษณาเกินจริงแน่นอนค่ะ Yim/kt