"เส้นทางสายไหม"ที่มีประวัติศาสตร์กว่า 2,000 ปีมีจุดเริ่มต้นที่เมืองซีอัน มณฑลส่านซี ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ในสมัยโบราณ เมืองซีอันมีชื่อเรียกว่า ฉางอัน เคยเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์ฮั่น และราชวงศ์ถัง ขณะนี้ "เส้นทางสายไหม"ส่วนที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นเส้นทางโบราณจริงนั้นมีระยะทางกว่า 5,000 กิโลเมตร ซึ่งทอดยาวจากเมืองซีอัน เข้าไปยังเอเชียงกลาง และยุโรป เส้นทางสายนี้เคยใช้เป็นช่องทางในการเผยแพร่เทคนิคการพิมพ์ การผลิตดินระเบิด การผลิตกระดาษจากจีนไปยังยุโรป ตลอดจนนำคณิตศาสตร์ และแพทยศาสตร์จากประเทศตะวันตกเข้ามายังประเทศจีน
ครั้งนี้ไม่ใช่เป็นครั้งแรกที่จีนยื่นขอขึ้นทะเบียน "เส้นทางสายไหม"เป็นมรดกโลก เมื่อทศวรรษปี 1990 จีนเคยขอมาครั้งหนึ่ง ส่วนยูเนสโก้เคยส่งทีมงานมาจีนเมื่อปี 2003 และปี 2004 ตามลำดับ เพื่อทำการตรวจสอบ แต่ช่วงเวลานั้น โบราณสถานบนเส้นทางสายไหมส่วนใหญ่ไม่ได้รับการอนุรักษ์ที่ดี การขอในครั้งนั้นจึงไม่ได้ประสบความสำเร็จ หลังจากนั้นเป็นเวลา 10 ปี จีนใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลในการบูรณะซ่อมแซมและอนุรักษ์โบราณสถานบนเส้นทางสายไหม จนในที่สุด ได้บรรลุเป้าหมายขึ้นทะเบียน "เส้นทางสายไหม" เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมได้
นายเหมียว เฉียง ยังกล่าวว่า หลัง "เส้นทางสายไหม" ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ธุรกิจท่องเที่ยวโบราณสถานจุดต่างๆ บน "เส้นทางสายไหม" คงคึกคักและเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ ทำให้ประชาชนมีโอกาสศึกษาเรียนรู้ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับ"เส้นทางสายไหม"มากขึ้น และทำให้โบราณสถานต่างๆ บน "เส้นทางสายไหม"ได้รับการอนุรักษ์ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่จีนร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยื่นขอขึ้นทะเบียน "เส้นทางสายไหม"เป็นมรดกโลก จึงเป็นโอกาสดียิ่งที่จะทำให้ต่างชาติเข้าใจประวัติศาสตร์และวัฒธรรมของจีนมากขึ้น
สื่อมวลชนรายงานว่า นอกจาก "เส้นทางสายไหม" แล้ว คลองขุดใหญ่ (the Grand Canal) และภูมิประเทศแบบคาร์สต์ในเขตร้อน (Karst landscape)ทางภาคใต้ของจีนก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในเวลาเดียวกัน ทำให้จำนวนมรดกโลกในจีนเพิ่มขึ้นเป็น 41 แห่ง ซึ่งมากเป็นอันดับที่สองของ
โลก รองจากประเทศอิตาลีที่มี 44 แห่ง อย่างไรก็ตาม นักวิชาการเรียกร้องให้ทางการจีนอนุรักษ์มรดกโลกในจีนให้มากขึ้น