กฎการศึกษาที่ยิ่งใหญ่ของโลก (1)
  2015-03-16 13:48:44  cri

การศึกษาหรือการอบรมสั่งสอน เป็นปัญหาของมนุษย์ทั่วโลก ไม่ว่าในอดีต ปัจจุบันหรืออนาคต ทุกคนก็อยากให้ทั้งลูกหลานและตัวเองพัฒนาก้าวหน้า โดยเฉพาะสำหรับเด็ก การสั่งสอนด้วยวิธีการที่ถูกต้อง มีความสำคัญอย่างยิ่งในการทำงานและการใช้ชีวิตในอนาคต ดังนั้น จะขอแนะนำ "กฎการศึกษา" ที่ยิ่งใหญ่ของโลก

1. กฎอ่างเลี้ยงปลา

เล่ากันว่า ในบริษัทแห่งหนึ่ง มีการเลี้ยงปลาตัวเล็กในอ่าง เวลาผ่านไปหลายปี ตัวปลาก็ยังขนาดเท่าเดิม ไม่ได้เติบโตขึ้น พนักงานในบริษัทจึงเห็นว่า ปลาพันธุ์นี้ไม่โต เลี้ยงอย่างไรก็ขนาดเล็กไม่เปลี่ยนแน่แล้ว วันหนึ่ง อ่างแตก เนื่องจากหาอ่างใหม่ไม่ได้ พนักงานจึงเอาปลาไปเลี้ยงในสระน้ำ คิดไม่ถึงว่า ปลากลับตัวโตขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

ดังนั้น แม้แต่ปลายังต้องการพื้นที่กว้างขึ้น คนเรายิ่งต้องการเสรีภาพมากกว่าในระหว่างการเติบโต แต่พ่อแม่ผู้ปกครองมักช่วยหรือคิดแทนลูก จัดการคัดเลือกให้แทนเกือบทุกอย่าง ทั้งเลือกโรงเรียน เสื้อผ้า ของเล่น และผู้ใหญ่มักให้คำตอบแทนลูกด้วย ทำให้ลูกไม่มีโอกาสคิดเอง เลือกเอง โตขึ้นแล้วจึงขาดความคิดสร้างสรรค์ และไม่สนใจลองสิ่งใหม่ๆ

2. ผลกระทบของพิกมาเลียน (Pygmalion Effect)

กล่าวถึงความฉลาดทางวิชาการกับความฉลาดทางสังคมว่า พฤติกรรมไม่ได้มีความสัมพันธ์กับ IQ ของเด็ก แต่มีความสัมพันธ์กับความคาดหวังของครูต่อเด็ก คือ เมื่อครูคาดหวังว่าเด็กจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ดี โอกาสที่เด็กจะทำสิ่งนั้นได้ดีสูงถึงร้อยละ 80 ความคาดหวังของครูต่อเด็กแต่ละคนต่างกัน จะทำให้การปฏิบัติต่อเด็กต่างกันไปด้วย เด็กที่ฉลาดแต่ถูกมองว่าโง่ จะเกิดการโต้ตอบในด้านลบปิดกั้นตัวเอง สุดท้ายก็ทำร้ายตัวเอง และมีความเสี่ยงจะถูกผู้อื่นทำร้าย

นาย Rosenthal นักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียงของสหรัฐฯ มีการวิจัยนักเรียน 2 กลุ่ม โดยจะให้การประเมินเชิงลบและเชิงบวกต่างกัน ปรากฏว่าได้ผลในทางลบและทางบวกอย่างเด่นชัด คือ การตั้งความหวังเชิงบวก เป็นการสนับสนุนจากภายนอก โดยครอบครัวและเพื่อนเป็นส่วนสำคัญของกำลังใจ เมื่อเจอความยากลำบากหรืออุปสรรค ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ล้วนอยากได้กำลังใจเชิงบวก แต่ถ้าขาดการสนับสนุนหรือกำลังใจ จะทำให้เขาเกิดอารมณ์ทางลบ และไม่มีความมั่นใจในตัวเอง

3.ความเคยชิน

ความเคยชินที่ดี จะทำให้ประสบผลสำเร็จ และมีจิตใจที่สงบ นักวิทยาศาสตร์เคยทำการทดลองปลาวาฬ คือตั้งกำแพงกระจกไว้ในสระน้ำ ให้ปลาวาฬอยู่ด้านหนึ่ง และวางสิ่งของบางอย่างในอีกด้านหนึ่ง ระยะเริ่มแรก ปลาวาฬพยายามชนกำแพงกระจกเพื่อไปอีกด้านหนึ่ง แต่เมื่อรู้แล้วว่าเป็นไปไม่ได้ ก็ไม่ชนอีกต่อไปแล้ว ต่อมานักวิทยาศาสตร์เอากำแพงกระจกออก แต่ปลาวาฬก็ยังว่ายน้ำอยู่ในด้านตน เหมือนกับว่ากำแพงยังอยู่

ในความจริง คนเราเหมือนปลาวาฬ เมื่อมีประสบการณ์ซ้ำ ๆ เป็นระยะหนึ่งแล้ว ก็กลายเป็นความเคยชิน โดยปกติ ใช้เวลาเพียง 21 วันก็จะเกิดความเคยชินได้ แต่ถ้าอยากแก้ความเคยชินเดิม จะต้องใช้เวลานานกว่านี้อีก ดังนั้น เราควรพยายามให้เด็กๆ มีความเคยชินที่ดีตั้งแต่เล็กก็จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งชีวิต

4. กฎหมาป่า

การเรียนต้องมีความสนใจก่อน การมีความอยากรู้อยากเห็นจึงมีความสำคัญมากในการเติบโตของเด็ก หมาป่าเป็นสัตว์ที่มีความอยากรู้มากที่สุดในโลก แม้ลูกนัทหรือเขากวาง ล้วนเป็นของเล่นของมันได้ ทำให้มันเพิ่มพูนความรู้ขึ้นเรื่อยๆ

ส่วนเด็กก็อยากรู้อยากเห็นโลกนี้ด้วยเช่นกัน สนใจสิ่งของทุกอย่าง อยากลองทุกสิ่งทุกอย่าง และมักถามปัญหาที่ผู้ใหญ่ตอบไม่ได้ แต่พ่อแม่ผู้ปกครองหรือครูมักรู้สึกว่าถามจุกจิกน่ารำคาญ มองว่าเด็กคิดอะไรแปลก ๆ ไม่ให้เด็กลอง กระทั่งบางคนยังดุหรือตำหนิเด็กด้วย ทำให้เด็กสูญเสียความอยากรู้และความสนใจต่อโลก เมื่อโตขึ้นแล้วก็กลายเป็นขาดความคิดสร้างสรรค์ และไม่มีกำลังแข่งขันด้วย

5. กฎความฝัน การเติบโตของเด็กต้องมีความใฝ่ฝัน

ผลการสำรวจเกี่ยวกับ "โตขึ้นแล้วอยากทำอะไร"ปรากฏว่า นักเรียน 92.7% อยากสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ดี เพียง 7.3% อยากเที่ยวทั่วโลก หรือไปทำงานในต่างดาว การทดลองอีกรายหนึ่งคือ พิธีกรวาดวงกลมบนกระดาษ นักศึกษาคณะอักษรศาสตร์หัวเราะกันและปฏิเสธที่จะตอบปัญหาง่ายๆ ที่แม้แต่คนโง่ก็ตอบได้ว่าคืออะไร นักเรียนมัธยมมีคนตอบว่า ศูนย์ อีกคนหนึ่งตอบว่าเป็นอักษรอังกฤษ "O" สุดท้ายถามนักเรียนประถมแย่งกันตอบว่า ดวงจันทร์ ลูกปิงปอง ขนม ปากที่กำลังอ้าร้องเพลง ดวงตาของครูที่กำลังโกรธอยู่ แสดงว่า อายุยิ่งมากขึ้น ยิ่งสูญเสียจินตนาการไป

ผู้เชี่ยวชาญเสนอว่า เวลาสั่งงานกับเด็ก ไม่ต้องสอนว่าทำอย่างไร เพียงแต่บอกเขาว่าต้องให้เขาทำเป็นอะไรหรือจุดประสงค์คืออะไร และให้คำเตือนด้านความปลอดภัย ให้เด็กไปคิดค้นและทดลองวิธีการต่างๆ ส่วนผู้ใหญ่ควรคอยให้การสนับสนุนตลอด

6. กฎลงโทษ ต้องให้เด็กยอมรับผิดและแก้ไขด้วยตนเอง

ทุกคนต้องรับผิดชอบกับการกระทำของตน ควรให้เด็กไปลองทำและได้รับประสบการณ์โดยตรง ซึ่งจะให้เขาจำแม่นกว่าการรับฟังจากคนอื่น อย่างเช่นคุณแม่เตือนลูกอย่าลืมพกอาหารเที่ยงที่คุณแม่เตรียมไว้ไปโรงเรียน แต่ลูกลืมทุกวัน คุณแม่กลัวลูกหิวข้าว จึงส่งข้าวไปถึงโรงเรียนทุกวัน วันหนึ่งคุณแม่ทราบกฎลงโทษแล้ว จึงบอกลูกว่า อย่าลืมอาหารเที่ยง เพราะแม่จะไม่ส่งให้อีกแล้ว แต่ลูกก็ลืมเหมือนเดิม คุณแม่ตัดสินใจไม่ส่งอาหารให้ลูก ทำให้ลูกหิวข้าวทั้งช่วงบ่าย กลับบ้านแล้วโกรธแม่ แต่แม่ไม่ได้ขอโทษ แต่หลังจากนั้น ลูกไม่ได้ลืมพกอาหารเที่ยงอีกแล้ว เรื่องนี้บอกเราว่า ต้องให้ลูกรู้จักและยอมรับผิด และต้องรู้ว่าต้องรับผิดชอบกับการกระทำของตน โทษคนอื่นไม่ได้

ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง
ตอบคำถามออนไลน์
ทบทวนรายการน่าสนใจ
ภาพยอดฮิต
เว็บไซต์ึเพื่อนซีอาร์ไอ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Play Stop
© China Radio International.CRI. All Rights Reserved.
16A Shijingshan Road, Beijing, China. 100040