ในชีวิตประจำวันจะมีสิ่งของที่เราต้องใช้ประจำวันเยอะแยะมากมาย อย่างเช่นผ้าขนหนู แปรงสีฟัน หมอน เป็นต้น แต่ท่านผู้ฟังทราบไหมคะว่า ของใช้ประจำวันเหล่านี้เป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคต่อสุขภาพ วันนี้ขอบอกเล่าถึงของใช้ใกล้ตัวที่แอบแฝงอันตรายอยู่ให้ทราบ

อย่างแรกก็คือแปรงสีฟันเก่า แปรงสีฟันเก่าถ้าใช้ครึ่งปีแล้ว จะมีเชื้อโรคมากถึง 1.8 ล้านตัว ถ้าใช้แปรงสีฟันเก่านี้มาแปรงฟัน ก็เท่ากับว่าได้เอาเชื้อโรคเข้าปาก โดยปกติแล้วแต่ละคนจะใช้แปรงสีฟันวันละ 2 ครั้งในตอนเช้ากับตอนเย็น แปรงสีฟันใช้นานถึง 2 เดือนก็ควรเปลี่ยนอันใหม่เพื่อเป็นผลดีต่อสุขภาพของเรา และอย่าลืมว่าตอนใช้แปรงสีฟันเสร็จ ใช้น้ำล้างให้สะอาด และถ้าแปรงสีฟันเปลี่ยนรูปแต่ยังไม่ถึงเวลา 1 เดือนก็ควรเปลี่ยนอันใหม่ เพราะแปรงสีฟันที่เปลี่ยนรูปแล้วจะทำลายช่องปากด้วย

หมอนเก่าก็เป็นสิ่งของที่จำเป็นต้องเปลี่ยนด้วย แม้ว่าได้สระผมทุกวัน แต่ในผมของทุกคนจะมีเชื้อโรคหลายหมื่นถึงหลายแสนตัวแอบแฝงอยู่ เชื้อโรคเหล่านี้จะติดสะสมอยู่ในหมอนที่เราใช้ทุกคืน ตอนนอน ฝุ่นหรือเชื้อโรคในผมจะติดบนหมอน และเหงื่อก็ซึมเข้าถึงหมอนด้วย เป็นการสะสมเชื้อโรค ง่ายที่จะทำให้เกิดอาการภูมิแพ้หรือโรคทางเดินหายใจ ฉะนั้น ดีที่สุดก็คือครบ 1 ปีแล้วก็ควรเปลี่ยนหมอนใหม่ และถ้ายังไม่ถึงเวลา 1 ปี แต่รู้สึกหมอนเสียความยืดหยุ่นหรือมีลักษณะบูดเบี้ยวไม่ได้รูปก็ควรเปลี่ยนหมอนใหม่

ผ้าขนหนูก็ไม่ควรใช้เวลานาน ผ้าขนหนูที่ซักอยู่เสมอ แม้จะเอาไปตากแดดบ่อยๆ ก็ยังมีเชื้อโรคแม้จะค่อนข้างน้อย แต่เมื่อใช้เป็นเวลานานก็จะเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคจำนวนมากได้ อาจจะมากกว่าหมื่นตัว และอาจจะมีเชื้อที่ทำให้เกิดโรคตา นอกจากนี้ผ้าขนหนูที่ใช้เป็นเวลานานจะแข็งขึ้น และยังจะทำให้เป็นโรคผิวหนัง ฉะนั้น ผ้าขนหนูใช้ประมาณ 3 เดือนแล้วก็ควรเปลี่ยนของใหม่

นักวิจัยมหาวิทยาลัยฟลอริดาสหรัฐฯ ระบุว่า ฟองน้ำล้างจานที่ใช้เป็นเวลานานร้อยละ 20 จะเป็นแหล่งเพาะเชื้ออีโคไล และเชื้อซัลโมเนลลา (Salmonella) ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้เจ็บป่วย

โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อน ฟองน้ำล้างจานที่ทำความสะอาดไม่เพียงพอจะมีเชื้อจำนวนมาก เป็นเหตุทำให้จานที่คิดว่าล้างสะอาดแต่กลับติดเชื้อโรคจากการล้างจาน