นายลู่ หลิน ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมโรคมณฑลยูนนานแนะนำว่า กระบวนการพัฒนาของแพทย์ชนบทได้ผ่าน 3 ช่วง ช่วงแรกคือช่วงเริ่มสถาปนาประเทศจีน ซึ่งแพทย์ชนบทแบกรับภาระหน้าที่ป้องกันโรคและเผยแพร่ความรู้ด้านสุขภาพอนามัย ช่วงที่สอง แพทย์ชนบทแบกรับหน้าที่รักษาโรคทั่วไป โดยได้แก้ปัญหาการขาดแคลนยารักษาโรคในชนบทอย่างมีประสิทธิผล ส่วนขั้นตอนที่สามคือภายหลังจีนดำเนินการปฏิรูปและเปิดประเทศ จีนเริ่มพัฒนาการรักษาพยาบาลด้วยความร่วมมือแบบใหม่ในชนบท แพทย์ชนบทเริ่มมีภารหน้าที่เผยแพร่การวางแผนครอบครัว การฉีดวัคซีน และการตรวจวินิจฉัยโรค เป็นต้น นับเป็นงานพื้นฐานที่สำคัญด้านสาธารณสุข
เมื่อปี 2004 จีนเริ่มประกาศใช้ข้อบังคับการบริหารแพทย์ชนบท เพื่อพัฒนาการทำงานของแพทย์ชนบทให้เป็นระบบระเบียบมากยิ่งขึ้น ขณะที่การปฏิรูประบบสาธารณสุขของจีนรอบใหม่ดำเนินอย่างลึก นับวันสวัสดิการของแพทย์ชนบทก็ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นายเติ้ง เฉียนตุยกล่าวว่า สองสามปีนี้ สวัสดิการของเขาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เงินชดเชยพื้นฐานเพิ่มขึ้นถึง 600 หยวน บวกกับเงินชดเชยพิเศษต่างๆ จะได้รับทั้งหมด เดือนละกว่า 1,200 หยวน
แต่เนื่องจากนโยบายฉบับเก่ายังไม่มีการปรับปรุง และมีปัญหาค้างอยู่ หากคนที่เป็นแพทย์ชนบทไม่อยู่ในตำแหน่งนี้แล้ว ก็จะไม่ให้เงินชดเชยต่างๆ จึงทำให้เกิดปัญหาที่ว่า แพทย์สูงอายุไม่ยอมเกษียณ ส่วนแพทย์รุ่นใหม่ไม่ยอมมา
นายลู่ หลินเห็นว่า ในกระบวนการพัฒนากิจการสุขภาพอนามัยของจีน แพทย์ชนบทเป็นกำลังที่ไม่อาจขาดแคลนและทดแทนได้ และเป็นขั้นตอนสำคัญในการปฏิรูประบบสาธารณสุขของจีนในอนาคต การที่ช่วงนี้โรงพยาบาลในเมืองใหญ่ๆมีผู้ไปรักษาโรคเต็มไปหมด ก็เพราะว่าการแพทย์พยาบาลในชนบทและเมืองเล็กค่อนข้างด้อยพัฒนา จีนมีความจำเป็นต้องพัฒนาทีมแพทย์ชนบทโดยด่วน
ตามแผนส่งเสริมสร้างการแพทย์ชนบท ในช่วง 10 ปีข้าหน้า จีนวางแผนจะอบรบแพทย์ชนบทระดับยอดเยี่ยมและเพิ่มสวัสดิการของแพทย์ชนบทให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยวางแผนจะให้ชาวบ้านในชนบททุก 1,000 คนมีแพทย์ชนบทอย่างน้อย 1 คน
รัฐบาลจีนจะให้โอกาสการศึกษาฟรีแก่แพทย์ชนบทมากยิ่งขึ้น ตามแผนดังกล่าว ทุกปีแพทย์ชนบทจะได้รับการฝึกอบรมด้านวิชาชีพโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 2 สัปดาห์ และจะมีโอกาสไปศึกษาที่หน่วยงานรักษาพยาบาลระดับสูงในทุก 3-5 ปีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ขณะเดียวกัน สวัสดิการและนโยบายด้านบำนาญสำหรับแพทย์ชนบทก็จะได้รับการปรับปรุงดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับนายเติ้ง นอกจากรายได้จะเพิ่มสูงขึ้นแล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เขาดีใจเป็นพิเศษ คือ ลูกชายของเขาตั้งใจจะเป็นแพทย์ชนบทต่อจากเขา เขาบอกว่า ปีนี้ลูกชาย 29 ปีแล้ว เมื่อก่อนทำงานในเมือง แต่ตอนนี้เขาศึกษาด้านแพทยศาสตร์ในสถาบันแห่งหนึ่ง อีก 2 ปีก็จะเรียนจบแล้ว ลูกชายหวังจะกลับบ้านเกิดและเป็นแพทย์ชนบทต่อไป
น่าชื่นใจที่ได้เห็นวัยรุ่นยอมทำงานขั้นพื้นฐานเพื่อสนองความต้องการของบ้านเกิด และเชื่อว่าด้วยการสนับสนุนจากนโยบายของรัฐบาล ประชาชนในชนบทจะมี "ผู้ปกป้องสุขภาพ" มากยิ่งขึ้นต่อไป