ความมืดหรือแสงสว่างของห้องนอนก็มีความสำคัญต่อคุณภาพการนอน ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอร์เนล์(Cornell University) แสดงให้เห็นว่า แสงอาทิตย์จะส่งผลต่อตารางเวลาทางชีววิทยา คือ ทำให้ร่างกายหยุดขับสารเมลาโทนิน(Melatonine) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้คนรู้สึกอยากนอนพักผ่อน ฉะนั้น ควรเปิดม่านหน้าต่างทิ้งช่องโหว่ไว้สักหน่อย เพื่อที่ว่าเมื่อถึงตอนเช้าแสงอาทิตย์จะสามารถส่องลอดหน้าต่างผ่านเข้ามาในห้องได้ ซึ่งทำให้ร่างกายมีความรู้สึกว่า วันใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว ควรตื่นนอนแล้ว
สำหรับคนจำนวนไม่น้อย นาฬิกาปลุกอันเดียวไม่พอ มีพฤติกรรมบางอย่างที่เชื่อว่า หลายๆ คนเคยทำกันมาก็คือ เมื่อนาฬิกาปลุกแล้ว คนที่ถูกปลุกจะลุกขึ้นมาปิดแล้วล้มตัวลงนอนต่อ พอรู้สึกตัวตื่นมาอีกทีจึงได้พบว่า สายมากแล้ว ฉะนั้น วิธีที่ดีก็คือตั้งนาฬิกาปลุกเผื่อไว้อีกอันหนึ่ง และอย่าตั้งเวลาปลุกใกล้กันเกินไปนัก ที่ดีที่สุดก็คือห่างกันประมาณ 30 นาที เพราะถ้าตั้งให้ห่างกัน 5-10 นาที สิ่งที่หลายคนทำกันก็คือ ลุกขึ้นมาปิดนาฬิกาปลุกแล้วนอนต่ออีก
ทั้งนี้ เวลาตั้งปลุกอันที่ 2 นี้ควรตั้งเวลาแบบขีดเส้นตาย ก็คือเวลาที่จำต้องตื่นนอนจริงๆ แล้ว นาฬิกาปลุก 2 อันนี้ อันแรกให้เอาไว้ใกล้เตียงได้ แต่อันที่ 2 ควรไว้ในที่ห่างจากเตียงสักหน่อย แบบที่ว่าต้องตื่นแล้วลุกลงจากเตียงจึงจะปิดได้
อีกอย่างคือ ต้องพิจารณาด้วยว่า อุณหภูมิของห้องนอนนั้นเหมาะสมหรือไม่ เพราะจะส่งผลต่อคุณภาพการนอนว่าดีหรือไม่เช่นกัน ผลวิจัยแสดงให้เห็นว่า อุณหภูมิระหว่าง 16 - 21 องศาเซลเซียส เป็นอุณหภูมิที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการนอน เพราะถ้าอุณหภูมิของห้องอุ่นเกินไป แม้ว่าจะทำให้เข้านอนได้ง่ายขึ้น แต่เมื่อตื่นนอนแล้ว อุณหภูมิที่อุ่นเกินไปนี้จะทำให้สมองไม่โปร่งใส มีอาการสะลึมสะลือได้ นอกจากต้องปรับให้มีอุณหภูมิที่เหมาะสมแล้ว ใส่น้ำกะละมังหนึ่งไว้ในห้องนอน เพื่อเพิ่มความชื้นภายในห้องก็มีส่วนช่วยต่อการนอนหลับให้ดีด้วย
และหลังจากตื่นนอนแล้ว อย่าเพิ่งรีบลุกขึ้นทันที ให้ใช้นิ้วมือนวดรอบๆ ดวงตาก่อน หลังจากนั้นก็เป็นหน้าผาก ใบหน้า และหู ค่อยๆ นวดเบาๆ การกระทำเช่นนี้นอกจากช่วยให้เราตื่นอย่างรวดเร็วแล้ว ยังดีต่อการบำรุงผิวหน้าอีกด้วย
เมื่อลองปฏิบัติตามวิธีการที่ถูกต้องดังกล่าวนี้แล้ว รับรองว่าจะช่วยแก้ไขความทรมานในการตื่นนอนตอนเช้าได้ ทำให้การนอนและการตื่นนอนกลายเป็นเรื่องที่แสนง่ายสบายใจอย่างหนึ่งในการเริ่มต้นวันใหม่ของพวกเรา
