เทศกาลหยวนเซียวนับเป็นเทศกาลสุดท้ายของเทศกาลตรุษจีน เนื่องจากเดือนอ้ายตามปฏิทินจันทรคติภาษาจีนเรียกว่า หยวน (元) และคนจีนสมัยโบราณเรียกยามค่ำว่า เซียว (宵) ดังนั้น วันขึ้น 15 ค่ำเดือนอ้ายจึงเรียกว่าวันหยวนเซียว ซึ่งวันนี้เป็นวันเพ็ญแรกของปี และเป็นค่ำคืนที่ฤดูใบไม้ผลิกลับคืนมา จึงจะต้องร่วมกันฉลอง และต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ
เล่ากันว่า เง็กเซียนฮ่องเต้มีพระบัญชาให้เทพเจ้าเตา(灶神菩萨)ลงมาประจำที่โลกมนุษย์ เพื่อรับรู้สภาพการใช้ชีวิตของคน โดยทุกวันขึ้น 3 ค่ำของแต่ละเดือนจะกลับขึ้นสู่สวรรค์ไปรายงานกับองค์เง็กเซียน ปีหนึ่ง เทพเจ้าเตารายงานว่า ทั้งปีชาวบ้านรับประทานกันอย่างง่ายๆ ตลอด 365 วัน ทุกๆ วันขยันทำงาน ไม่มีวันหยุด ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป กลัวว่าชาวบ้านจะเหน็ดเหนื่อเกินไปจนเจ็บไข้ได้ป่วย และไม่มีแรงทำงานอีก เมื่อเง็กเซียนฮ่องเต้ได้ยินแล้ว ก็เรียกประชุมเทพบนสวรรค์ทั้งหมด เทพไท่ไป๋จินซิง(太白金星) กราบทูลว่า สามารถให้ชาวบ้านกินยาวิเศษชนิดหนึ่ง พวกเขาจะค่อยๆ คึกคักมีชีวิตชีวาขึ้น จะต้องพักผ่อนจากความเหนื่อยล้ากันบ้าง เง็กเซียนฮ่องเต้จีงประทานอนุญาต และตรัสให้พระน่าถัวลงสู่โลกมนุษย์ไปปฏิบัติ
ช่วงเช้าวันขึ้น 8 ค่ำเดือน 12 ตามปฏิทิตจันทรคติจีน พระน่าถัวจึงแอบนำยาวิเศษใส่หม้ออาหารของมนุษย์ เมื่อยาตกลงในหม้อก็เปลี่ยนรูปร่างเป็นถั่วเหลือง เต้าหู้ ผักและเนื้อก้อนเล็กๆ เมื่อมนุษย์กินแล้วก็เริ่มอารมณ์รื่นเริงขึ้น ผู้หญิงเริ่มเย็บเสื้อชุดใหม่ ทำรองเท้าใหม่ ผู้ชายฆ่าหมูฆ่าแพะมาทำอาหารทานฉลองกัน และต่างไม่อยากออกไปตรากตรำทำงาน จนวันขึ้น 24 ค่ำเดือน 12 ยาออกฤทธิ์แรงมากถึงขีดสุด ผู้คนจึงนัดญาติมิตรมากินเลี้ยงดื่มเหล้ากัน จนถึงเที่ยงคืนวันที่ 30 วันสุดท้ายของเดือน ผู้คนต่างนำอาหารเอร็ดอร่อยจากบ้านมานั่งร่วมโต๊ะใหญ่ อยู่พร้อมหน้ากันทั้งครอบครัว รับประทานอาหารด้วยกัน ตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำเดือนอ้าย ทุกคนไม่เพียงแต่ต้องรับประทานอาหารอร่อยเท่านั้น หากยังต้องแต่งตัวสวยๆ ใส่ชุดสีสันสดใส ไปเที่ยวเล่นข้างนอก และต้องมอบของขวันแก่กัน
ถึงวันขึ้น 13 ค่ำเดือนอ้าย เทพเจ้าเตาต้องกลับขึ้นสวรรค์ไปรายงาน และรายงานว่าชาวบ้านทั่วไปเป็นบ้าไปหมดแล้ว มัวแต่กินและเที่ยวเล่น ไม่ทำงานแม้แต่น้อย ถ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป จะทำอย่างไรดี? เง็กเซียนฮ่องเต้เมื่อทรงทราบก็ตกพระทัยยิ่ง จึงให้เทพเซียนทั้งหลายมาหารือกันอีก และเทพไท่ไป๋จินซิงก็กราบทูลอีกครั้งว่า ต้องให้พระไภษัชยคุรุเสด็จลงไปโปรด แล้วมวลมนุษย์ทั้งหลายก็หายเป็นปกติ
ดังนั้น ในค่ำคืนวันขึ้น 14 ค่ำเดือน 12 ตามจันทรคติ พระไภษัชยุคุรุทรงทำให้อาหารเย็นของชาวบ้านกลายเป็นก้อนแป้ง ซึ่งภาษาจีนเรียกว่า หยวนเซียว(บัวลอย) โดยมีไส้เป็นงา เมล็ดธัญพืชและน้ำตาล เมื่อชาวบ้านรับประทานแล้ววันรุ่งขึ้นทุกคนก็กลับเป็นปกติ ทุกครอบครัวฟื้นฟูการทำงานดังเดิม
นับจากนั้นเมื่อถึงวันสุดท้ายของปี ทุกคนก็ยังยึดปฏิบัติตามเดิมสืบทอดต่อมาจนถึงทุกวันนี้ กลายเป็นประเพณีฉลองเทศกาลตรุษจีน
และในวันหยวนเซียว ก็จะต้องรับประทานหยวนเซียวให้ได้ โดยผู้ทำการค้าชอบเรียกหยวนเซียวว่า "หยวนเป้า" ซึ่งเป็นก้อนเงินก้อนทองที่ใช้แทนเงินในสมัยโบราณของจีน
หยวนเซียวเป็นบัวลอยมีไส้ ขนาดประมาณลูกชิ้นทั่วไป ทำจากแป้งข้าวเหนียว ไส้มีหลายอย่าง เช่น น้ำตาล กุหลาบ งาดำ ถั่วแดง ถั่วลิสง วอลนัท พุทรา วิธีการทำมีหลายอย่างด้วย เช่น ต้ม ทอด หรือนึ่ง โดยหยวนเซียวแฝงความหมายว่า กลมกลืน ครบสมบูรณ์