ช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ชาวนาจำนวนหลายร้อยล้านคน พ้นจากสภาพความยากจน หมู่บ้านชนบทส่วนหนึ่งกลายเป็นเมืองที่ทันสมัย รถไฟความเร็วสูงที่เป็นสัญลักษณ์ของนิวไฮเทควิ่งอยู่ระหว่างเมืองใหญ่ๆ ทั่วประเทศ ความเจริญของเศรษฐกิจจีนมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่น่าเชื่อ เมื่อเร็วๆ นี้ เว็บไซต์หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ "เดีย เจย์ต" (Die Zeit) ของเยอรมนีเผยแพร่บทความในหัวข้อ "สูงยิ่งขึ้น ไกลยิ่งขึ้น เร็วยิ่งขึ้น" โดยนำเอาเจาะลึกสูตรสำเร็จ 11 ข้อของการปฏิรูปเปิดประเทศจีนในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา

3.จนถึงปี 2015 จีนมีเมืองขนาดใหญ่ที่มีประชากรเกินกว่า 5 ล้านคน 15 เมือง

5 ล้านคน น่าจะเป็นตัวเลขที่ใหญ่มาก ในทวีปยุโรป เมืองใหญ่ที่มีประชากรเกินกว่า 5 ล้านคน มีเพียง 3 แห่ง คือกรุงปารีส กรุงลอนดอนและกรุงมอสโก เรามีสถิติว่า จีนมีเมืองใหญ่ที่มีประชากรเกินกว่า 5 ล้านคน 15 เมือง แต่ที่จริงแล้วอาจจะมีมากกว่านี้ อย่างเช่นเมืองกว่างโจว เมืองเอกของมณฑลกว่างตุง เป็นศูนย์กลางของกลุ่มเมืองที่มีประชากรจำนวนกว่า 46 ล้านคน เพราะเขตเมืองกว่างโจวเอง มีประชากรเพียง 11 ล้านคน นอกจากนั้น ยังได้รวม "เมืองเล็ก" ที่อยู่รอบข้างด้วย ซึ่งเมืองเล็กเหล่านี้รวมถึง เมืองซาน ประชากร 8 ล้านคน เมืองตุงกว่าน ประชากร 7 ล้านคน

แต่ก่อนเมืองโฝซานและเมืองตุงกว่านเป็นเมืองเล็ก แต่หลังจากจีนเปิดประเทศแล้ว นักธุรกิจต่างชาติ ฮ่องกง ไต้หวันและมาเก้า พากันนำเอาเงินทุนเข้ามาตั้งบริษัทและโรงงานผลิตในเขตเหล่านี้ "เมืองเล็ก" ตุงกว่านและโฝซาน กลายเป็นโรงงานผลิตของโลกจนถึงสิ้นปี 2017 เมืองตุงกว่านมีบริษัทและวิสาหกิจที่จดทะเบียนเกินกว่า 1 ล้านแห่ง

นอกจากนั้น เมืองใหญ่ที่อยู่ใกล้กับเมืองกว่างโจวยังมีเมืองเซินเจิ้น ที่มีประชากรเกินกว่า 10 ล้านคน ฉะนั้น ผู้วางผังเมืองของจีนกำลังทำโครงการใหญ่ โดยจะสร้างรถไฟความเร็วสูง เชื่อมต่อเมืองต่างๆ ที่มีประชากรกว่าล้านคนในมณฑลกว่างตุง รวมถึงฮ่องกงและมาเก๊าที่อยู่โดยรอบมณฑลกว่างตุง เพื่อสร้างกลุ่มเมืองใหญ่พิเศษที่มีประชากรเกินกว่า 60 ล้านคน ส่วนที่ภาคเหนือของจีน ก็จะมีแผนการในลักษณะเดียวกัน โดยจะถือกรุงปักกิ่งเป็นศูนย์กลาง สร้างกลุ่มเมืองใหญ่พิเศษที่มีประชากรเกินกว่า 130 ล้านคน

สิ่งที่ไม่เหมือนกับอินเดีย บราซิลหรือแอฟริกาใต้คือ เมืองใหญ่ของจีนไม่มีเขตสลัมที่ควบคุมไม่ได้ แต่จะมีอาคารบ้านพักสูงที่สร้างใหม่ จนถึงปี 2017 เมืองใหญ่ที่มีประชากรเกินกว่า 1 ล้านคนในจีนมีกว่า 100 แห่ง โดยรัฐบาลจีนตั้งเป้าว่า อีก 10 ปีข้างหน้า ตัวเลขนี้จะเพิ่มมากขึ้น 1 เท่าหรือเกินกว่า 200 แห่ง

4.จนถึงสิ้นเดือนมีนาคมปี 2018 จีนมีการสำรองเงินตราต่างประเทศประมาณ 3.14 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ

ในโลกนี้ไม่มีประเทศใดประเทศหนึ่งสามารถสะสมเงินตราต่างประเทศ

จำนวนมหาศาลเท่ากับจีน ปัจจุบัน จีนมีการสำรองเงินตราต่างประเทศประมาณ 3.14 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนสหรัฐอเมริกามีเพียง 125,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เท่านั้น

5.บริษัทจีน 115 แห่งเข้าบัญชีรายชื่อ 500 บริษัทยักษ์ของโลก

ปัจจุบัน จีนมีบริษัทขนาดใหญ่จำนวนมาก ซึ่งสามารถเห็นถึงความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจทางเศรษฐกิจของจีน บัญชีรายชื่อ 500 บริษัทยักษ์ใหญ่นั้น มี 115 แห่งมาจากจีน ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงในประเทศตะวันตก อย่างเช่น กลุ่มบริษัทเครือข่ายการไฟฟ้าแห่งชาติของจีน (State Grid) ยอดการจำหน่าย 315,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ รองลงจากกลุ่มบริษัท Walmart จัดอยู่อันดับ 2 ของบัญชีรายชื่อ 500 บริษัทยักษ์ของโลกที่ประกาศโดยนิตยสารฟอร์จูน มีลูกจ้างจำนวนกว่า 900,000 คน นอกจากนั้น บริษัทที่อยู่ใน 10 อันดับแรกของบัญชีรายชื่อดังกล่าวยังมีกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียม (Sinopec Group) และกลุ่มบริษัทน้ำมันปิโตรเลียมจีน(China National Petroleum Corporation-CNPC) ยอดการจำหน่ายของ 2 บริษัทนี้ล้วนเกินกว่า 250,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี ซึ่งกลุ่มบริษัทโฟล์คสวาเก้นมียอดการจำหน่าย 240,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี จัดอยู่อันดับที่ 6

6.ปี 2017 จีนยื่นขอสิทธิบัตรระหว่างประเทศ 8,330 ชิ้น

ปัจจุบัน จำนวนการยื่นขอสิทธิบัตรระหว่างประเทศต่อปีของจีน จัดอยู่อันดับ 5 ของโลก รองลงจากสหรัฐฯ เยอรมนี ญี่ปุ่นและฝรั่งเศส สำนักงานสิทธิบัตรแห่งยุโรประบุว่า ปี 2017 จำนวนการยื่นขอสิทธิบัตรของจีนเพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับปีก่อน

สิทธิบัตรที่จีนยื่นขอนั้นส่วนใหญ่มาจากการโทรคมนาคม ดิจิตอลและเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ซึ่งตรงกับเป้าหมายของรัฐบาลจีนที่จะเป็นผู้นำหน้าของโลกในด้านเทคโนโลยีสำคัญก่อนปี 2025

7.ของเล่น 70% ของโลกผลิตในจีน

หลายปีมานี้ จีนถูกมองว่าเป็นโรงงานผลิตของประเทศตะวันตก อย่างเช่นของเล่น สถิติที่เกี่ยวข้องของบริษัทให้คำปรึกษา IBIS ของสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่า ปัจจุบัน ของเล่นกว่า 70% ผลิตในจีน จีนมีการส่งออกของเล่นมูลค่าเกินกว่า 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี สาขาอาชีพนี้มีลูกจ้างทั้งหมดประมาณ 607,000 คน ต้นทุนการผลิตเฉลี่ยของของเล่นแต่ละชิ้นคิดเป็นมูลค่า 50 เซน แต่ร้านขายของในเยอรมนีจะขายในราคา 10 หรือ 20 ยูโร