เมื่อเร็วๆ นี้ได้อ่านข่าวว่า ปัจจุบัน จีนมีเด็กที่อ้วนเกินไปมากกว่า 13 ล้านคน เป็น 1 ใน 13 คนของเด็กที่อ้วนเกินไปทั่วโลก ชาวจีนมักชมว่า คุณแม่เลี้ยงเก่ง ลูกอ้วนท้วนดี แต่ความจริง ความอ้วนเป็นแหล่งกำเนิดโรคหลายๆ ชนิด และการรับประทานอาหารไม่ถูกหลักวิทยาศาสตร์เป็นความเคยชินที่ไม่ดีของชาวจีน

เมื่อก่อนแทบไม่มีคนยอมปฏิบัติตามหลักโภชนาการที่ว่า "อาหารเช้าเหมือนฮ่องเต้ อาหารเที่ยงเหมือนขุนนาง ส่วนอาหารเย็นเหมือนคนขอทาน" หมายความว่า อาหารเช้าต้องรับประทานอาหารดีๆ ให้อิ่ม อุดมด้วยสารโภชนาการ แต่อาหารเย็นไม่ควรกินจนอิ่มมาก และควรกินอาหารแบบง่ายๆ จึงไม่เพิ่มภาระต่อกระเพาะและลำไส้ ทำให้การนอนมีคุณภาพดีขึ้น แต่คนเราจำนวนมากไม่ได้ใช้ชีวิตตามหลักวิทยาศาสตร์ จนส่งผลกระทบต่อสุขภาพไม่มากก็น้อย ในวัยหนุ่มสาวอาจไม่ได้รู้สึกอะไร แต่พออายุมากขึ้น ก็จะมีโรคเกิดขึ้นตามมา ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ไม่มีคุณภาพเท่าที่ควร

องค์การอนามัยโลกเห็นว่า ความแข็งแรงและความยืนยาวของอายุมี 15% ขึ้นอยู่กับปัจจัยพันธุกรรม 10% ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางสังคม 8% ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางการรักษาพยาบาล 7% ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศ ส่วน 60% ต้องขึ้นอยู่กับตนเอง คือวิถีทางการใช้ชีวิต โดยการรับประทานอาหารตามหลักโภชนาการ นอนหลับ ไม่เจ้าอารมณ์ แต่ละวันต้องหัวเราะให้ครบ 30 นาที จะทำให้สุขภาพมีความแข็งแรง

มาร์ก ทเวน นักเขียนชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงทั่วโลกเคยกล่าวว่า "การชื่นชมประโยคเดียวเท่ากับอาหาร 10 วันของผม การชื่นชมคนอื่นเป็นความต้องการทางจิตใจที่สำคัญของมนุษย์" เพราะเมื่อชื่นชมคนอื่นแล้วจะทำให้ทั้งผู้ที่ถูกชื่นชมและผู้ที่พูดชื่นชมล้วนดีใจและมีอารมณ์ที่ดีขึ้น และทุกคนก็รู้กันว่า อารมณ์ดีเป็นยาที่ดีที่สุด ผู้ที่มีอารมณ์ดี และเห็นแต่แง่ดีๆ ของคนอื่น มักมีสุขภาพที่แข็งแรง

นอกจากอารมณ์ที่ดีแล้ว วิธีการบำรุงสุขภาพก็มีความสำคัญมากเช่นกัน นายว่าน เฉิงขุย ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านปรัชญา การศึกษา การกีฬาและนักบรรยายด้านการบำรุงสุขภาพ เขาอายุ 79 ปีแล้ว แต่หน้าตาดูสดใส แข็งแรงมาก ทฤษฎีของเขาเกี่ยวกับ "การบริหารตนเองเพื่อสุขภาพ" ได้รับรางวัลจากกองทุนสันติภาพโลก เขาบรรยายว่า บางคนซื้อรถ ซื้อเสื้อ ซื้อมือถือแล้วทะนุถนอนมาก แต่ไม่รู้จักรักตัวเอง โดยเฉพาะไม่รู้จักรักษาหัวใจ เส้นเลือดและเลือดลมซึ่งมีความสำคัญมากที่สุดต่อชีวิต ดังนั้น นายว่าน เฉิงขุยจึงสรุป 8 ขั้นตอนต่อวันเพื่อการรักษาสุขภาพ 8 ขั้นตอนนี้ดูง่ายๆ และทำไม่ยากเลย แต่ที่สำคัญที่สุดคือต้องขยันทำทุกวันตลอดไป

ขั้นแรกก็คือ รับประทานอาหาร 3 มื้อให้ดี ไม่ว่าประเทศใดหรือชนชาติใด ถ้าจะพิจารณาว่าเจริญเข้มแข็งเกรียงไกรหรือไม่ ก็ไปดูว่าประชาชนรับประทานอาหารอะไรบ้าง ทำไม่ชาวจีนจำนวนมากเป็นโรคกระเพาะอาหารและมะเร็งระบบย่อยอาหาร ก็เพราะว่าไม่เอาใจใส่ต่อการรับประทานอาหาร ไม่ว่าอาหารที่เย็น ร้อน เปรี้ยว หวาน เผ็ด แข็งหรืออาหารทอด รับประทานหมดเลย คิดแค่ว่า กระเพาะอาหารเป็นถุงเก็บอาหารเท่านั้น อีกทั้งรับประทานอาหารเช้าแบบลวกๆ อาหารเที่ยงเอาแบบง่ายๆ มีเพียงอาหารเย็นที่รับประทานมากมายหลายอย่าง มักจัดงานเลี้ยง หรือนัดเพื่อนในช่วงเย็นๆ จนจำเป็นต้องรับประทานอาหารหลายอย่าง บางทีจะดื่มเหล้าจนดึกดื่น และไม่รับประทานอาหารหลักด้วย ทั้งนี้ล้วนไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ

หลักการรับประทานอาหารที่ถูกต้องคือ ต้องรับประทานอาหารหลายชนิด และสัดส่วนของอาหารหลัก ผัก และเนื้อสัตว์มีความเหมาะสม รับประทานผักวันละ 0.5 กิโลกรัม ผลไม้ 2 ลูก น้ำมัน 25-30 กรัม ข้าวหรือแป้งสาลี 250-400 กรัม โปรตีน 5 ชนิด รวมถึงเนื้อสัตว์ ไข่ไก่ นม ปลา และถั่ว เกลือ 6 กรัม น้ำ 8 แก้ว หรือ（1,200-1,800）มิลลิลิตร และรับประทานอาหารให้อิ่มเพียง 70% เท่านั้น กล่าวคือ กินน้อย 1 คำจะได้สบายไปทั้งวัน

ขั้นตอนที่ 2 คือ ขับถ่ายปัสสาวะและอุจจาระให้เป็นปกติ ปัจจุบัน ผู้ป่วยเป็นมะเร็งลำไส้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุสำคัญประการหนึ่งก็คือ มักสนใจการกินแต่มองข้ามการขับถ่ายซึ่งเป็นวิธีการขจัดสารพิษออกจากร่างกายที่ดีที่สุดของมนุษย์ แต่ละวันควรขับถ่ายปัสสาวะ 5-6 ครั้ง หรือประมาณ1,000-1,500 มิลลิลิตร ทุกวันควรขับถ่ายอุจจาระตรงเวลา มีปริมาณพอๆ กัน และมีรูปร่างเป็นปกติ และให้เรียบร้อยภายใน 3 นาทีจะดีที่สุด สำหรับผู้สูงอายุใช้เวลาประมาณ 5 นาที และควรมีปริมาณ 250-500 กรัมต่อวัน เพื่อให้การขับถ่ายเป็นปกติ ควรรับประทานอาหารประเภทเห็ด สาหร่ายทะเล มัน ถั่ว ผักและผลไม้ให้มากพอสมควร ถ้ารับประทานอาหารประเภทไขมันสูง และแปรรูปอย่างละเอียด และขาดเซลลูโลส ย่อมจะทำให้ลำไส้ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายลำบากจนสารพิษตกค้างอยู่ในร่างกายมากเกินไป