ช่วงเรียนปริญญาตรี แนนมีรูมเมทเป็นคนไต้หวันค่ะ ซึ่งเค้ามีคุณแม่ที่น่ารักมากๆ ในช่วงวันหยุด บางครั้งคุณแม่เค้าก็จะพารูมเมทกับแนนไปเที่ยว รวมทั้งไปหาของอร่อยๆ ทานกัน มีอยู่ครั้งหนึ่ง คุณแม่เค้าพาไปเที่ยวเมืองเทียนจินค่ะ ซึ่งเมืองเทียนจินนี้ มีอาหารที่ขึ้นชื่ออยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ ซาลาเปาหมาเมิน วันนี้แนนเลยขอทำตัวเป็นไกด์ นำเพื่อนๆ ไปชมเมืองเทียนจินและไปชิมซาลาเปาเจ้าดังกันนะคะ
บรรยากาศระหว่างทางนั่งรถจากปักกิ่งถึงเทียนจิน
การเดินทางจากปักกิ่งไปเมืองเทียนจินนั้นสะดวกมากค่ะ เราสามารถไปได้ทั้งทางรถไฟและทางรถยนต์ วันนั้น แนนไปทางรถยนต์ค่ะ ระยะทางก็ประมาณ 120 กิโลเมตร ใช้เวลานั่งรถไม่นานมาก ประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ ก็เลยทำให้เราสามารถไปเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับภายในวันเดียวได้ แต่ถ้าเดินทางโดยรถไฟความเร็วสูงก็จะยิ่งเร็วกว่านั้นอีกค่ะ รถไฟความเร็วสูงวิ่งจากปักกิ่งไปยังเทียนจิน ใช้เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เพราะว่าความเร็วของเขาอยู่ที่ 300 กิโลเมตร/ชั่วโมงค่ะ
ภายในเมืองเทียนจิน ยังคงสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก
เทียนจิน เป็นหนึ่งใน 4 เทศบาลนครของจีน (ปักกิ่ง เทียนจิน เซี่ยงไฮ้ และฉงชิ่ง) เทศบาลนครเทียนจินมีระดับเทียบเท่ากับมณฑลและปกครองโดยรัฐบาลกลางโดยตรง เมืองเทียนจินมีประชากรประมาณ 10 ล้านคน จัดเป็นเมืองใหญ่อันดับ 3 ของประเทศจีน โดยมีท่าเรือที่สำคัญ คือ อ่าวโปไห่ จึงทำให้เมืองเทียนจินได้รับฉายาว่า "เพชรแห่งอ่าวโปไห่ " หรือ" The Diamond of Bohai Gulf " และเนื่องจากเมืองนี้มีชายฝั่งทะเลยาวถึง133 กิโลเมตร จึงเป็นศูนย์กลางทางการค้า การขนส่งที่สำคัญของจีนตอนเหนือ โดยสินค้าที่ผ่านท่าเรือแห่งนี้กว่า 80% เป็นถ่านหิน แร่ธาตุ และผลิตภัณฑ์น้ำมัน นอกจากนั้นเทียนจินยังเป็นเมืองอุตสาหกรรมที่สำคัญ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในมหาสมุทรค่ะ นอกจากความเจริญในปัจจุบันแล้ว เมืองเทียนจินยังมีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจด้วยค่ะ เพราะเมืองเทียนจินแต่เดิมเคยเป็นเมืองเช่าของตะวันตก ดังนั้นภายในเมืองจะยังมีสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกซึ่งตกค้างมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 19 ในยุคล่าอาณานิคม ปรากฏให้เห็นอยู่ทั่วไป ด้วยเหตุนี้ เมืองเทียนจินจึงมีอีกฉายาหนึ่งว่า "เซี่ยงไฮ้ทางเหนือ"
ซาลาเปาหมาเมิน ของอร่อยของเมืองเทียนจิน
รู้จักเมืองเทียนจินแบบคร่าวๆ กันแล้ว เราไปหาของอร่อยๆ ทานกันดีกว่าค่ะ อาหารชื่อดังของเมืองนี้ ชื่อว่า ซาลาเปาหมาเมิน (โก่วปู้หลี่) ค่ะ (โก่ว=สุนัข ปู้=ไม่ หลี่=มอง) ร้านที่ขายซาลาเปานี้มีประวัติยาวนานร้อยกว่าปี เดิมมีชื่อว่า "เต๋อจวี้เฮ้า" แต่เหตุที่ได้ชื่อใหม่ว่า "โก่วปู้หลี่" ก็เพราะว่า ครั้งหนึ่งร้านซาลาเปาแห่งนี้มีเจ้าของร้านชื่อว่า เกากุ้ยโหย่ว เขามีชื่อเล่นในสมัยเด็กว่า "ลูกหมา" (โก่วจื่อ) เนื่องมาจากว่าบิดาของเขามีบุตร ก็คือ เกากุ้ยโหย่ว ตอนอายุ 40 ปี ดังนั้นจึงตั้งชื่อเล่นให้ลูกว่า โก่วจื่อ เพื่อขอภาวนาให้บุตรชายได้อยู่เย็นเป็นสุข และเติบโตอย่างปลอดภัย ต่อมา ร้านซาลาเปาของเกากุ้ยโหย่ว มีลูกค้ามาอุดหนุนมากมาย กิจการเจริญรุ่งเรืองและมีชื่อเสียงมากขึ้นทุกวัน ทำให้เขายุ่งกับการขายซาลาเปา จนไม่มีเวลาทักทายลูกค้าเหมือนอย่างเคย จึงโดนลูกค้าล้อเล่นกันว่า "ลูกหมาขายซาลาเปา อะไรๆ ก็ไม่สน" นานวันเข้าจึงเรียกว่า "ซาลาเปาโก่วปู้หลี่" ก็คือ "ซาลาเปาหมาเมิน" นั่นเอง ชื่อนี้เป็นที่เรียกติดปากกันทั่วไปทำให้ชื่อร้านจริงๆ ของ เกากุ้ยโหย่ว กลับถูกลืมหายไป
ความอร่อยของซาลาเปาหมาเมินนั้น สำคัญอยู่ที่การเลือกใช้วัตถุดิบค่ะ ส่วนหลักๆ ก็คือ แป้ง หมูสับ และเครื่องปรุงรส นอกจากนั้นผู้ทำยังต้องมีเทคนิกการนวดและคลึงแป้งสาลีอย่างพิถีพิถัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แต่ละจีบของซาลาเปาแต่ละลูกนั้นจะต้องมีขนาดเท่ากัน และแต่ละลูกจะต้องมีจีบไม่ต่ำกว่า 15 จีบด้วยค่ะ สำหรับผู้ที่อยากจะชิมความอร่อยนั้น สามารถเลือกทานได้ทั้งแบบนึ่งทานในร้าน หรือจะซื้อเป็นแพ็คแช่แข็งกลับบ้าน แล้วเอามาอุ่นไมโครเวฟทานเองทีหลังก็ได้ค่ะ
การที่เราใช้เวลาในวันหยุดเพื่อไปเที่ยวเมืองอื่น และได้ทานของอร่อยเจ้าดังของเมืองนั้นๆ ถือเป็นการใช้เวลาที่คุ้มค่าเชียวค่ะ เพราะนอกจากจะได้เปิดหูเปิดตา ชมความสวยงามของเมืองนั้นๆ แล้ว ยังได้ความสนุกสนาน และความอร่อย เรียกว่าได้สัมผัสครบทุกอรรถรส พร้อมที่จะเติมความสดชื่นให้มีพลังในการเรียน/ทำงานต่อไปได้ดีทีเดียวค่ะ
แนน