เทศกาลเช็งเม้ง หรือ ชิงหมิง ของชาวจีนแผ่นดินใหญ่เพิ่งเสร็จสิ้นไปไม่นานและประเด็นเรื่องราคาที่ดินของผู้ล่วงลับมักจะนำกลับมาเล่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าคล้ายกับการบ่นให้ฟังและมักจะแผ่วเบาลงไปในอีกไม่นาน ซึ่งในแต่ละปีราคาค่าเช่าและค่าจัดการหลุมฝังศพก็จะขึ้นราคาไม่แพ้น้ำมันหรือทองคำ
บรรยากาศชิงหมิงที่สุสานปาเป่าชาน (เขตที่ทางการจัดไว้สำหรับเป็นสุสานของกรุงปักกิ่ง)*
ประเพณีและธรรมเนียมปฏิบัติที่ชาวจีนไม่อาจจะละทิ้งหรือไม่ทำตามได้ หนึ่งในทั้งหมดก็คือ การดูแลและจัดการสุสานให้กับบรรพบุรุษเป็นประจำทุกปี ปัจจุบัน จีนจะพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปอย่างก้าวกระโดด ราวกับพลิกฝ่ามือจากเมื่อกว่าสามสิบปีก่อนก็ตาม แต่การดำรงและปฏิบัติตามประเพณีของจีนนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ราคาที่ดินและที่พักอาศัยของจีนนั้นพุ่งขึ้นทุกๆวัน รวมถึงราคาสุสานหรือหลุมฝังศพก็เช่นกัน แต่การจัดการบางอย่างก็ได้เปลี่ยนไปตามบริบทและเงื่อนไขของความเป็นเมือง เช่น ต้องนำร่างของผู้เสียชีวิตไปเผาที่ฌาปนสถานของทางการ หลังจากนั้นนำเถ้ากระดูกมาบรรจุในโกฏตามฐานะและความเชื่อ ต่อมาจึงนำไปไว้ที่สุสานหรือจะนำไปลอยอังคารก็ตามแต่ความสมัครใจและยินยอมของลูกหลาน
สุสานแบบดั้งเดิม เริ่มจะไม่ค่อยได้เห็นแล้วตามเขตชนบทของจีน
แต่เขตชนบทของจีนบางแห่งยังคงไว้ซึ่งประเพณีและธรรมเนียมปฏิบัติแบบดั้งเดิม โดยมักจะทำสุสานไว้ตามที่ดินหรือทุ่งนาของตน เพราะตามความเชื่อแล้วจะได้ให้ผู้ล่วงลับอยู่ดีเป็นสุขหลังความตาย อีกทั้งยังได้ดูแลปกป้องผืนดินของลูกหลานอีกด้วย เมื่อไม่นานทางการท้องถิ่นพยายามขอความร่วมมือให้ชาวชนบทย้ายจากสุสานตามที่ดินไปอยู่ในเขตสุสานที่ทางการจัดการไว้ให้อย่างเป็นระเบียบ
กระดาษไหว้ที่เผาให้บรรพบุรุษตามความเชื่อก็เปลี่ยนไปตามยุคสมัยเช่นกัน
ทุกๆ ปีของชิงหมิง สื่อต่างๆ มักจะนำเสนอในเรื่องราคาที่ดินและการจัดการสุสานที่มีราคาสูงมากจนทำให้ลูกหลานมองว่า เป็นเรื่องที่เกินความสามารถของพวกเขาที่จะทำให้กับพ่อแม่แต่ก็จะพยายามหาทำเลที่ดีที่สุดให้กับพ่อแม่ของตน หากมองเชิงลึกลงไปอีกจะเห็นว่า ความกตัญญูกตเวทีและความรักเคารพบุพการีนั้นยังหยั่งอยู่ในรากลึกของชาวจีนทุกคน ไม่ว่าจะยากดีมีจนแค่ไหนก็ยังคงรักษาความเชื่อว่า หากบรรพบุรุษอยู่ในที่สุขสบายหลังความตายแล้ว ก็จะทำให้ลูกหลานเจริญก้าวหน้ารุ่งเรือง อีกสิ่งสำคัญของลูกหลานที่ยังมีลมหายใจต้องการแสดงให้เห็นถึงความกตัญญูและความรักเคารพที่อาลัยเป็นสิ่งสุดท้ายที่ดีที่สุดสำหรับผู้ล่วงลับไปแล้ว เพราะผู้ล่วงลับย่อมไม่รับรู้มีแต่ผู้มีลมหายใจเท่านั้นที่รับรู้ถึงความรู้สึกเหล่านี้ว่า "ทำไมต้องหาผืนดินหรือทำเลที่ดีที่สุดให้กับบรรพบุรุษหลังจากไร้ลมหายใจ"
นอกจากจะเป็นการให้ลูกหลานได้สำนึกและระลึกถึงบุญคุณของบรรพบุรุษที่ล่วงลับ ยังเป็นเวลาที่จะได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันระหว่างลูกหลานที่เหลืออยู่อีกด้วย อีกทั้งได้ทำกิจกรรมร่วมกันไม่ว่าจะเป็นทำความสะอาดและได้พูดคุยไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกัน อย่างน้อยก็ทำให้ลูกหลานได้รับรู้ว่า ไม่ได้อยู่อย่างคนไร้ญาติขาดมิตรในเมืองใหญ่ เรายังมีพี่น้องให้ดูแลและเกื้อกูลกันอยู่ จะทำสิ่งใดก็ยังมีกำลังใจและสายสัมพันธ์ร้อยเรียงกันให้ชีวิตดำเนินต่อไป หากบรรพบุรุษสามารถรับรู้ได้ถึงสิ่งนี้น่าจะทำให้พวกเขาสุขสงบที่สุด
สุชารัตน์ สถาพรอานนท์
*หมายเหตุ ภาพถ่ายจาก Mr. Juan Carlos Zamora Rojas ผู้เชี่ยวชาญภาษาสเปน ซีอาร์ไอ