หลายปีมานี้ การกินเจค่อยๆ กลายเป็นวิธีการที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและรักษาสุขภาพอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นกระแสนิยมของชาวโลก เมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันวิจัยการกินเจแห่งแรกของจีนได้จัดตั้งขึ้นที่เมืองอู่ฮั่น เพื่อวิจัยและประชาสัมพันธ์การกินเจ เท่าที่ทราบ ในไต้หวันของจีนมีประชากรประมาณร้อยละ 40 กินเจ ในประเทศอังกฤษมีพลเมืองจำนวนหนึ่งในหกกินเจ ส่วนสหรัฐฯ มีหนึ่งในสิบกินเจ
แม้ว่ามีคนกินเจมากยิ่งขึ้น แต่การกินเจนี้จะเป็นวิธีการที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมและร่างกายจริงหรือไม่ยังเป็นเรื่องที่มีความคิดเห็นแตกต่างกันอยู่
สถาบันวิจัยสุขภาพของจีนพบว่า หลังจากมนุษย์กินอาหารประเภทเนื้อแล้ว อาหารประเภทเนื้อปกติต้องใช้เวลานาน 4-5 วันจึงจะถ่ายออกไปได้ อาหารประเภทเนื้อที่ค้างอยู่ในลำไส้เป็นเวลานานนี้จะเกิดพิษขึ้นมา เพิ่มภาระหนักแก่ตับ ขณะเดียวกัน อาหารประเภทเนื้อขาดเซลลูโลส ง่ายที่จะทำให้เกิดอาการท้องผูก นอกจากนี้ ไขมันและคอเลสเตอรอลที่มีอยู่ในอาหารประเภทเนื้อละลายในเลือด และติดอยู่ผนังโลหิต ง่ายที่จะทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
ส่วนการกินเจ กินแต่อาหารประเภทพืชผัก จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดความเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคความอ้วน โรคหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้ อาหารเจมีปริมาณเซลลูโลสมาก สามารถช่วยในเรื่องการผลิตเซลล์เก่าและสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทน
อันนี้เป็นในส่วนของความคิดเห็นที่ว่าการกินเจจะเป็นผลดีต่อสุขภาพ แต่ขณะเดียวกันก็มีการไม่เห็นด้วยเช่นกัน มีผลวิจัยล่าสุดแสดงให้เห็นว่า ถ้ากินเจเป็นเวลานาน จะมีผลเสียต่อร่ายกาย เพราะว่าการกินเจจะทำให้อาหารที่กินได้มีไม่หลากประเภทพอ เมื่อกินเจเป็นเวลานานแล้ว ระบบย่อยอาหารจะค่อยๆ เสื่อมถอย จนในที่สุดทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ
การกินเจเป็นเวลานานจะทำให้ร่างกายขาดสารวิตามินบี 12 และแร่ธาตุต่างๆ ที่ร่างกายมนุษย์ต้องการ เช่น สังกะสี แคลเซียมและเหล็ก ล้วนมาจากอาหารประเภทเนื้อ อาหารเจนี้ไม่เพียงแต่มีธาตุสังกะสี แคลเซียมและเหล็กน้อยมากเท่านั้น หากยังมีกรดออกซาลิกที่กีดกันการดูดซึมธาตุสังกะสี แคลเซียมและเหล็กสู่ร่างกายอีกด้วย ส่วนวิตามินบี 12 ก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดเสียมิได้ของระบบประสาทและขั้นตอนการผลิตเลือด ซึ่งวิตามินบี 12 นี้ส่วนใหญ่มีอยู่ในอาหารประเภทเนื้อ ไม่สามารถรับเอาจากอาหารเจได้