ต้นเดือนหน้า(ก.ค.)นี้ จะมีหนังจีนเรื่องใหม่ชื่อ "I Am Somebody (我是路人甲)" ผลงานกำกับโดย เอ่อร์ตงเซิง(Derek Tung-Shing Yee)ที่นำเสนอเรื่องราวชีวิตของนักแสดงตัวประกอบ ภายหลังมีการจัดฉายรอบพิเศษเป็นการภายในที่ฮ่องกงไปเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งเหลียงเฉาเหว่ย ดารานักแสดงชายชื่อดังของฮ่องกง หลังรับเชิญเข้าร่วมชม ก็ได้เขียนวิจารณ์ถึงหนังเรื่องนี้ความยาวกว่า 2,000 ตัวอักษรจีน ในหัวข้อ "ยินเสียงดาวตก" และกลายเป็นที่ฮือฮาตามสื่อต่างๆ ทันที ซึ่งคราวที่แล้วได้เกริ่นช่วงต้นของบทความไปแล้ว เชิญอ่านกันต่อกับส่วนที่เหลือ...
"...วันเวลาหมุนย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีก่อน ผมในตอนนั้นยังขายเครื่องใช้ไฟฟ้าอยู่ ชีวิตปราศจากคลื่นลม ณ เวลานั้นผมตั้งเป้าอนาคตไว้เพียงหนึ่งเดียวว่า หากไม่มีอะไรผิดพลาด คงได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นไปจนถึงผู้จัดการขาย
เป็นอย่างนี้ที่จริงไม่มีอะไรไม่ดี แต่บางครั้งก็รู้สึกว่า ราวกับไม่ใช่ชีวิตอย่างที่ผมต้องการ ส่วนที่ว่าผมจริงๆ แล้วต้องการอะไร ผมในตอนนั้นก็ไม่รู้
ดีว่ามีเพื่อนเก่าคนหนึ่ง ช่วงนั้นมาคอยล้างสมองผมอยู่ตลอดเวลา ทุกวันจะมาสเก็ตภาพร่างความอัศจรรย์แบบต่าง ๆ ให้ผม ชวนให้ผมออกจากงานและไปสอบเข้าเรียนฝึกอบรมศิลปินด้วยกัน ผมในที่สุดก็ถูกเขาพูดจนสั่นคลอน และย่างเท้าก้าวแรกออกไป
ผมรู้สึกขอบคุณเพื่อนคนนั้นยิ่ง แต่แม่ของผมตอนนั้นโกรธมาก เพราะท่านรู้สึกว่าคนที่ชื่อ "โจวซิงฉือ" ทำให้ลูกทิ้งงานที่มั่นคงไป ไปเรียนอะไรที่ไม่รู้อนาคต ถึงวันนี้ผมยังคงจำได้ถึงคำกล่าวของท่านที่พูดกับผมในตอนนั้นว่า "เจ้าลูกไม่รักดี ฉันจะไม่ให้เงินสักเหรียญ"
ท่านพูดจริงแล้วก็ทำจริง ปีนั้นที่ไปเข้าฝึกเป็นศิลปิน ผมอาศัยเงินที่เก็บสะสมไว้ก่อนหน้าประทังชีวิตเอา ปีนั้น ทุกวันผมมีเงินติดออกไปเพียงสิบเหรียญ เดินไปเรียนเอา หากไม่ระวังตื่นสายเข้า เงินสิบเหรียญก็ต้องให้คนขับแท๊กซี่ และวันนั้นก็ทนหิวเอา
ผมสงสัยนักว่าผมเคยเล่าเรื่องราวช่วงนั้นให้ "เอ่อร์ตงเซิง" ฟังหรือเปล่า เพราะในภาพยนตร์เด็กหนุ่มที่ชื่อ "ว่านกั๋วเผิง" กับผมในตอนนั้นอยู่ในสภาพเดียวกันทุกอย่าง ไม่ใช่แค่เขา เหล่าตัวประกอบทุกคนในเรื่อง ตั้งแต่ตอนเริ่มเข้าสู่สายอาชีพนี้แล้วหยิบจับอะไรไม่ถูก มาถึงตอนแสดงก็ใช้แรงมากเกินทุกครั้ง ล้วนทำให้ผมอดที่จะส่งเสียงหัวเราะออกมาไม่ได้ ราวกับว่าได้เห็นตัวเองเมื่อ 30 ปีก่อน
โปสเตอร์หนัง "I Am Somebody" กำหนดฉายในจีน 3 ก.ค. ปี 2015
(ซ้าย) - ผมมาจากมณฑลเหอหนาน อายุ 19 ปี เคยขายประกัน ตอนนี้อยู่ที่เหิงเตี้ยนสู้ชีวิต
(ขวา) – ผมมาจากมณฑลอันฮุย อายุ 22 ปี เคยเป็นตำรวจหน่วยสนับสนุน ตอนนี้มาวิ่งผ่านหน้ากล้องที่เหิงเตี้ยน
มีเพียงสิ่งเดียวที่ต่างออกไป นั่นคือ พวกเขาต่างมีเป้าหมายแน่ชัดที่จะไป "เหิงเตี้ยน" ส่วนผมคือหลังจากได้เข้าไปเรียนฝึกเป็นศิลปินแล้ว ถึงได้รู้ว่านั่นคือชีวิตอย่างที่ผมต้องการ ผมต้องการเป็นนักแสดงคนหนึ่ง ไม่ใช่ดารา ไม่ใช่ราชาจอเงิน เป็นเพียงแค่นักแสดง
"นักแสดง" คำนี้สำหรับผมช่างหนักมาก ตอนปี 2013 ผมไปทำงานอยู่ที่แอลเอได้พูดคุยกับ "นักแสดงพาร์ทไทม์" พวกเขามีงานประจำในสาขาอาชีพต่าง ๆ บางคนเป็นบริกร บางคนเป็นพนักงานทำความสะอาด แต่เวลาคุณถามพวกเขาว่าทำงานอะไร พวกเขาจะตอบว่า "ฉันเป็นนักแสดง"
ผมเชื่อว่า คนที่สามารถพูดว่า "ฉันเป็นนักแสดง" ประโยคนี้ออกมาได้ จะต้องมีความศรัทธาอย่างแรงกล้าในการแสดงแน่ สำหรับผมแล้ว งานนักแสดงก็คือทำให้ดีโดยไม่มีเงื่อนไข ไม่เกี่ยวพันถึงสิ่งอื่นใด
ตลอดหลายปีมานี้ มีคนถามผมบ่อยๆ ว่าหากไม่เป็นนักแสดงจะไปทำอะไร ถึงตอนนี้ผมก็ยังคิดคำตอบของปัญหานี้ไม่ออก ผมจะไม่ไปทำอย่างอื่น นับจากวันนั้นที่ผมเข้าสู่อาชีพนี้ ก็มีความคิดอย่างหนึ่งติดตามผมมาตลอด ก็คือ ไม่สนว่าผมจะได้รับบทบาทอะไร มีบทมากน้อยแค่ไหน แม้ว่าได้ออกกล้องเพียงแค่วินาทีเดียว ผมก็จะคิดหาทางทำให้คุณจำผมให้ได้ภายในหนึ่งวินาทีนี้
เพื่อทำให้มันเป็นจริง ผมพยายามฝึกฝนนานมาก ยากที่จะบอกได้ว่าความคิดนี้เป็นความฝันแรกสุดของผม แต่เพื่อที่จะให้สมกับ "นักแสดง" สองคำนี้ จำต้องทำให้ได้ถึงจุดนี้
ตอนอยู่ในกอง ผมมักจะลืมเสมอว่าผมคือเหลียงเฉาเหว่ย เพราะว่าผมจำได้เพียงความคิดฝังใจนั้นถึงวันนี้ก็ยังคงเป็นอย่างนี้
กลับมายังปัจจุบัน ช่วงนี้ผมอยู่บ้านดูภาพยนตร์ญี่ปุ่นหลายต่อหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่นำแสดงโดย "โซเมทานิ โชตะ(Sometani Shota)" ผมชอบมาก ตอนที่ดูเรื่อง "I Am Somebody" มีหลายครั้งที่เหมือนเกิดภาพซ้อน เด็กหนุ่มคนนั้นที่ชื่อ "ว่านกั๋วเผิง" กับ "โชตะ" ดูคล้ายกันมาก ท่าทางซื่อๆ ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ช่วยลดความกดดันของเนื้อหา ทำให้ระหว่างชมมีความสนุกสนานผ่อนคลายขึ้นมา
ใช่ครับ "I Am Somebody" ไม่ใช่เรื่องราวที่ดูผ่อนคลายนัก นักแสดงนำล้วนเป็นหน้าใหม่ แต่ "เอ่อร์ตงเซิง" ก็ฉลาดนัก เขารู้ดีว่าจะทำให้เรื่องนี้สำเร็จลงได้ มีทางเดียวนั่นคือ ต้องหาคนที่เป็นตัวประกอบจริงๆ มาแสดง อาศัยความเข้าใจและเชื่อมั่นในนักแสดงอย่างดี เป็นสไตล์ที่เขาเริ่มสร้างขึ้นจากงานกำกับเรื่อง "The Lunatics (癫佬正传) " ผมยังจำได้ดีถึงสายตาที่เขามองนักแสดง สายตานั้นเหมือนกำลังพูดว่า "ใช่ ฉันดูไม่ผิด นายนี่แหละคือคนแบบนั้น"
ความรู้สึกแบบนี้บางทีก็น่ารังเกียจนัก แต่เขาก็มักถูกเสมอ
ในเรื่อง บรรดาตัวประกอบหนุ่มสาวมีถกกันว่าความสำเร็จคืออะไร ตอนผมดูก็ขบคิดไปด้วย ความสำเร็จที่ผมเข้าใจ ไม่ใช่ว่าไม่ต้องกังวลถึงเสื้อผ้าอาหาร ไม่ใช่ว่าได้รางวัลมานับไม่ถ้วน แต่เป็นว่าคุณสามารถมีความสุขกับความพยายามทุ่มเทในแต่ละครั้งหรือเปล่า มีความฝันมีเป้าหมายเป็นเรื่องดี แต่หากมองเพียงเป้าหมาย ก็มักจะละเลยสิ่งรอบข้าง เหมือนกับการวิ่งจ๊อกกิ้ง ใจคุณคิดแต่จะวิ่งให้ถึงจุดหมาย ก็จะลืมชื่นชมทิวทัศน์ระหว่างทาง
ดังนั้น พวกเราบางครั้งก็ลืมที่จะรักษาสิ่งสำคัญ บางครั้งก็มองตนเองสูงเกินไป บางคราก็ตำหนิฟ้าโทษว่าคนอื่น พูดให้ถูกแล้ว ก็คือวางตัวเองไม่ลง หลายคนที่ใจไม่สงบก็เพราะวางไม่ลง ทั้งๆ ที่ เมื่อพวกเราเรียนรู้ที่จะปล่อยวาง มักจะได้รับกลับคืนมากกว่าเสมอ ดังนั้น ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็ย่อมไม่สำคัญแล้ว
ผู้กำกับ "เอ่อร์ตงเซิง" เกิด 28 ธ.ค. ปี 1957 ชาวฮ่องกง สูง 182 ซม.
คนส่วนใหญ่มักเห็นว่า นักแสดงตัวประกอบก็เป็นคนทั่วไป เหมือนดาวตกที่ปรากฏให้เห็นบนท้องฟ้ายามราตรีได้ในบางครั้ง ซึ่งไม่สามารถค้างอยู่ในชีวิตคุณไปได้ตลอด แต่แม้จะริบหรี่โรยแรงเช่นดาวตก ก็ยังมีร่องรอยของมัน และในยามที่ดึกสงัด ก็อาศัยช่วงเวลาเพียงวินาทีเดียวนั้น ส่งเสียงของตนออกมา หวังให้ผู้มีใจได้ยิน
ผมคิดว่า นักแสดงตัวประกอบเหล่านี้ก็เช่นกัน หลังจากที่ยืนหยัดเงียบ ๆ มาแสนนาน ในที่สุดก็ได้พบคนนั้นที่ชื่อว่า "เอ่อร์ตงเซิง"
ครั้งนี้ หวังว่าจะมีคนที่ได้ยินเสียงของดาวตกมากขึ้น แม้จะเพียงแค่วินาทีเดียว"
...และนี่ก็เป็นเนื้อความทั้งหมดของเหลียงเฉาเหว่ยที่เขียนถึงภาพยนตร์เรื่องใหม่นี้ ซึ่งหนังจะน่าชมแค่ไหนคงต้องรอไปชมแล้วตัดสินกันเองทีหลัง
เดี่ยวเด็ดสะเก็ดหนัง โดย วังฟ้า 羅勇府