เชื่อว่าหลายคนต่างคุ้นหูกันดีกับชื่อ "ถ้ำหินหลงเหมิน" เพราะไม่ว่ากรุ๊ปทัวร์ไหน หากจัดนำเที่ยวลั่วหยางแล้ว เป็นต้องมีหลงเหมินรวมอยู่ในโปรแกรมด้วย เพราะที่นี่ได้ชื่อว่าเป็น 1 ใน 4 สุดยอดถ้ำหินที่รังสรรค์ความงามทางพุทธศิลป์ของจีน ร่วมกับถ้ำหินโม่เกาคู(เมืองตุนหวง มณฑลกันซู่) ถ้ำหินหยุนกั่ง(เมืองต้าถง มณฑลซานซี) และถ้ำหินมั่ยจีซาน(เมืองเทียนสุ่ย มณฑลกันซู่) โดยหลงเหมินได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมเมื่อค.ศ. 2000
เมื่อย่างเข้าสู่เดือนเมษายน ที่ไทยร้อนสุดๆ แถมปีนี้ผจญกับวิกฤตภัยแล้งยาวนานต่อเนื่อง ทำให้บางแห่งต้องงดเล่นสาดน้ำสงกรานต์ ซึ่งภาครัฐและเอกชนต่างร่วมกันรณรงค์ให้ประชาชนทั่วประเทศเล่นน้ำอย่างประหยัด บ้างแนะใช้ฟอกกี้แทนการสาดน้ำ หรือเน้นจัดกิจกรรมที่ชูประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามด้านอื่นของเทศกาลแทน ความร้อนระอุของไทยจึงดูผิดกับสภาพอากาศที่จีนโดยเฉพาะทางเหนืออย่างปักกิ่งต้องบอกว่าเมษายนของที่นี่กลางคืนลมยังพัดเย็น และเพิ่งจะสัมผัสได้ถึงความเป็นฤดูใบไม้ผลิ ที่ต้นไม้ผลิใบออกดอกให้ชมสดชื่นกันเต็มตาจริงก็เดือนนี้
สำหรับเมืองลั่วหยางที่อยู่ใต้ปักกิ่งลงไปในมณฑลเหอหนาน ต้องบอกว่าแม้กลางวันจะแดดจ้าแต่ก็มีลมเย็นพัดโชยอยู่ตลอดเช่นกัน อากาศจึงเย็นสบายกว่าที่ไทยมาก อุณหภูมิก็ใกล้เคียงกับปักกิ่งคืออยู่ที่ 20 กว่าองศาเท่านั้น ซึ่งช่วงเมษายนถึงพฤษภาคมนับเป็นช่วงเวลาที่เหมาะแก่การมาเที่ยวชมความตระการตาแบบไม่ธรรมดาของหลงเหมินอย่างมาก ยิ่งประจวบกับที่ช่วงเดียวกันนี้ที่ลั่วหยางมีการจัดงานสำคัญประจำปีอย่าง "เทศกาลชมโบตั๋น" ที่เป็นดอกไม้ประจำเมืองและเลื่องชื่อเป็นที่สุดของจีนมาแต่โบราณด้วย ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนและต่างชาติหลั่งใหลกันมาเที่ยวหลงเหมินเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
ดังคาดในจำนวนนักท่องเที่ยวนับหลายหมื่นคนต่อวันนี้ กรุ๊ปทัวร์จากไทยย่อมมีรวมอยู่ด้วย ซึ่งหลายคนบอกตั้งใจมาเที่ยวหลงเหมินของลั่วหยาง เพราะอยากเห็นความยิ่งใหญ่ทางพุทธศิลป์ของจีนแบบเต็มตาด้วยตนเอง
ถ้ำพระพุทธรูปหินแกะสลักสมัยเว่ยเหนือของหลงเหมิน ส่วนใหญ่จะมีพระพักตร์ที่แย้มพระสรวล ดูมีเมตตาอารีกว่าที่ถ้ำหินหยุนกั่งที่สร้างขึ้นในยุคเว่ยเหนือเช่นกัน(ก่อนย้ายเมืองหลวงมายังลั่วหยาง) และเทียบกันแล้วของหลงเหมินจะมีความงามทางพุทธศิลป์แบบจีนมากกว่าด้วย
การแกะสลักพระพุทธรูปที่ถ้ำหินหลงเหมินเริ่มขึ้นในสมัยราชวงศ์เว่ยเหนือตอนปลาย หลังจากนั้นก็มีการต่อเติมมาเรื่อยจนเฟื่องฟูสุดในสมัยราชวงศ์ถังของจีน รวมเวลาก่อสร้างยาวนานกว่า 400 ปี กลายเป็นงานแกะสลักทางพุทธศิลป์บนกำแพงถ้ำหินผาที่ทอดยาวในแนวเหนือใต้เป็นระยะทางร่วม 1 กิโลเมตร โดยมีจำนวนช่องถ้ำแกะสลักรวมกว่า 2,000 ช่อง องค์พระพุทธรูปแกะสลักที่มีขนาดใหญ่สุดมีความสูงถึง 17.14 เมตร เล็กสุดเพียง 2 ซม.
การแกะสลักถ้ำหินของหลงเหมินกว่าร้อยละ 60 ถูกสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง โดยส่วนใหญ่เป็นตามพระบัญชาของพระนางอู่เจ๋อเทียน(บูเช็กเทียน) ซึ่งผลงานถ้ำสมัยถัง พระพักตร์ของพระพุทธรูปจะมีความอิ่มเอิบ พระกรรณยาวย้อย พระวรกายอวบอิ่ม และมีท่วงท่าดูสงบอ่อนโยนเป็นพิเศษกว่าของที่สร้างในสมัยเว่ยเหนือ
ความงามแห่งพระพุทธรูปหินสลักของหลงเหมินแต่ละชิ้นล้วนมีความวิจิตรบรรจงตามที่เลื่องลือ แต่องค์ที่ถูกยกย่องว่างามงดโดดเด่นเป็นที่สุดหนีไม่พ้นองค์พระใหญ่ "พระโรจนพุทธ" ที่มีขนาดใหญ่โตเป็นที่สุดมีความสูงกว่า 17 เมตร โดยพระเศียรสูง 4 เมตร พระกรรณยาว 1.9 เมตร นอกจากนี้ความพิเศษขององค์พระยังอยู่ที่พระพักตร์ที่ดูอ่อนหวานสวยงามเป็นพิเศษสุดด้วย ว่ากันว่าสร้างตามพระพักตร์ของพระนางอู่เจ๋อเทียน เนื่องจากทรงสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวนมหาศาลเพื่องานก่อสร้าง
ผลงานแกะสลักถ้ำหินหลงเหมินถูกสร้างขึ้นตามความปรารถนาของจักรพรรดิและเชื้อพระวงศ์ชนชั้นสูงของจีนในยุคราชวงศ์เว่ยเหนือและถัง จึงถือเป็นศูนย์รวมความอลังการงานสร้างทางพุทธศิลป์ระดับสุดยอดของจีน เพราะความยิ่งใหญ่และวิจิตรบรรจงของเนื้องานมีเพียงชนชั้นปกครองเท่านั้นที่จะมีอำนาจและทรัพย์สินในการรังสรรค์ขึ้นได้ ถ้ำหินหลงเหมินจึงเป็นเสมือนตัวแทนที่สะท้อนถึงความเลื่อมใสศรัทธาในพุทธศาสนาของราชวงศ์จีนที่มีความรุ่งโรจน์ตกต่ำเปลี่ยนแปลงในช่วงศตวรรษที่ 5-10
แม้ว่าตอนนี้จะเหมาะแก่การมาเที่ยวชม แต่อาจลองเลือกมาเที่ยวในช่วงหน้าหนาวที่ผู้คนนิยมมาเที่ยวกันน้อยดูบ้างก็น่าจะดี รับรองว่าความเย็นยะเยือกของอากาศจะยิ่งช่วยขับความยิ่งใหญ่อลังการของสถานที่ให้ดูโดดเด่นและให้อารมณ์ความรู้สึกที่พิเศษไปอีกแบบแน่นอน
แวะพักทักลั่วหยาง โดย วังฟ้า 羅勇府