ต่อมาในเดือนมกราคม ปี 1927 ได้ย้ายไปสอนที่มหาวิทยาลัยซุนยัดเซ็น ที่เมืองกวางโจว ซึ่งต่อมาที่นั่นได้กลายเป็นศูนย์กลางการปฏิวัติ
แต่ด้วยความขุ่นแค้นต่อแนวคิดการปฏิวัติของเจียงไคเช็ก ในวันที่ 12 เมษายนปีเดียวกันหลู่ซิ่นก็ลาออกจากการเป็นอาจารย์ แล้วเดินทางไปยังเซี่ยงไฮ้เพื่อศึกษาแนวคิดแบบมาร์กซิสต์-เลนิน อย่างจริงจัง
นับตั้งแต่ปี 1930 เป็นต้นมา หลู่ซิ่นได้เข้าร่วมกับนักเขียนฝ่ายซ้ายและกลุ่มสิทธิเสรีภาพของจีน ทำงานด้านปฏิวัติและงานด้านวัฒนธรรมอย่างจริงจัง และจากความศรัทธาที่มีต่อพรรคคอมมิวสต์จีนนั่นเอง ทำให้เขานำเอาหลักทฤษฎีของมาร์กซีสต์มาปรับใช้ในงานศิลปวรรณกรรม เพื่อนำเสนอต่อประชาชน อีกทั้งยังเป็นผู้อาจหาญในการตอบโต้กับกลุ่มนักเขียนที่มีแนวคิดโอนเอียงไปในทางพวกปฏิกิริยาปฏิวัติ เจียง ไค เช็ค และที่เซี่ยงไฮ้นี่เอง นับเป็นช่วงที่เขาผลิตผลงานชิ้นสำคัญของเขาออกมามากที่สุด อีกทั้ง สวู่ กว่างผิง ภรรยาของเขาได้ให้กำเนิดบุตรชายแก่หลู่ซิ่นด้วย ซึ่งเขาตั้งชื่อให้ว่า " ไฮ่ยิง" ซึ่งแปลว่าลูกของเซี่ยงไฮ้" ซึ่งเป็นการตั้งเพื่อให้ลูกของเขาเปลี่ยนชื่อเอาเองเมื่อเติบโตขึ้น แต่ไฮ่ยิงก็ไม่ได้ทำตามนั้น
หลู่ซิ่น ได้อุทิศชีวิตของเขาต่อการปฏิวัติวัฒนธรรมจีนใหม่ ซึ่งผิดไปจากข้อเขียนของเขาในยุคแรก อีกทั้งตัวของเขาเองยังเป็นหัวหอกสำคัญในการจัดตั้งองค์กรวรรณกรรมก้าวหน้า รวบรวม สนับสนุนนักเขียนรุ่นใหม่ๆ แปลงานวรรณกรรมต่างประเทศ เพื่อให้คนจีนหัวก้าวหน้าได้อ่าน อีกทั้งยังศึกษางานคลาสสิก และศิลปวัฒนธรรมดั้งเดิมของจีนเพื่อมองหาข้อดีมาเป็นบทเรียนด้วย