ช่วงนั้นยังไม่เข้าฤดูหนาวดีนัก สนามหญ้าด้านข้างอาคารพิพิธภัณฑ์จึงยังคงเขียวขจี ตัดกับสีของลูกพลับสีส้มที่กำลังสุขได้ที่ สปริงเกอร์นับสิบตัวฉีดน้ำหมุนวนไปทั่วทั้งสนาม บรรยากาศเงียบเชียบไร้ผู้คน ถ้ามาช่วงเช้าที่เพิ่งเปิดก็คงน่าจะมีคนมากกว่านี้ เพราะแค่ได้เดินเข้ามาถ่ายรูปกับอาคารทรงกลมขนาดสองชั้นที่ใช้สำหรับเก็บน้ำดิบที่ถูกส่งมาจากแม่น้ำซุน ซึ่งถูกออกแบบเป็นสถาปัตยกรรมตะวันตก ภายในมีรูปเจ้าแม่กวนอิมยืนอยู่บนดอกบัว เคียงข้างเท้าทั้งสองข้างมีเต่าและงูคอยเฝ้าระวังด้วย
อาคารแห่งนี้มองไกลๆ คล้ายกับโดมของมัสยิด แต่มีเสาแบบโรมันรายล้อม ตัวอาคารตกแต่งด้วยกระเบื้องโมเสกชิ้นเล็กๆ อย่างสวยงาม
ถัดกันเป็นอีกอาคารหนึ่ง ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อกักเก็บน้ำดิบจาก 5 บ่อด้วยกันที่ถูกสูบขึ้นมาจากใต้ดิน ซึ่งสร้างขึ้นหลังจากแม่น้ำซุนเหือดแห้งในปี 1940
หลังจากเพลินกับบรรยากาศในสวนแล้ว เมื่อเดินเลาะไปอีกด้านของสนามก็จะพบอาคารแสดงงาน แม้เป็นด้านหลัง แต่ก็ทึ่งในความสวยงามของอาคารที่ก่อด้วยอิฐแดงที่ส่งตรงมาจากประเทศเยอรมนี ส่วนที่เป็นเสาและขื่อทาสีขาว พร้อมทั้งเขียนลายโค้งแบบอาร์กหัวเสาของโรมัน ให้ความรู้สึกขัดแย้งอย่างยิ่งกับตึกคอนโดสูงเสียดฟ้าทรงสี่เหลี่ยมหลายหลังที่ผุดขึ้นรอบๆ พื้นที่ของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้
อาคารเก็บน้ำที่สูบจากบาดาล