"กลับบ้านแล้วเหรอคะ"
นี่เป็นประโยคที่พนักงานต้อนรับของสายการบินโอภาปราศรัยอย่างคุ้นเคยกับกลุ่มผู้สูงอายุหลายคนที่เดินขึ้นมาบนเครื่องที่จะนำเราเดินทางจากกรุงปักกิ่งไปยังเมืองอู๋ซี แล้วต่อไปยังหมู่บ้านหัวซี เพื่อเข้าร่วมงานฉลอง 50 ปี แห่งการก่อตั้งหมู่บ้าน
เพื่อนที่ร่วมเดินทางไปด้วยกันกระซิบบอกว่า คนกลุ่มนี้น่าจะเป็นชาวหมู่บ้านหัวซีที่มาท่องเที่ยวกรุงปักกิ่งในช่วงวันหยุดยาววันชาติ และกำลังจะเดินทางกลับบ้าน พนักงานต้อนรับคงจะคุ้นเคยกับผู้โดยสารที่เดินทางเป็นประจำเหล่านี้ เพราะสายการบินนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจหมู่บ้านหัวซี
ขนาดว่ายังไม่ได้เดินทางออกสนามบินทหารเล็กๆ ของกรุงปักกิ่ง ปีกแห่งความมีชื่อเสียงด้านความร่ำรวยของชาวบ้านหัวซีก็สยายมาไกลถึงกรุงปักกิ่งให้ได้สัมผัสกันแล้ว ทำให้รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เห็นกับตาตัวเองเสียทีว่า หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทำไมจึงสามารถพัฒนาขึ้นมาเป็นหมู่บ้านอันดับหนึ่งและร่ำรวยที่สุด อีกทั้งเป็นที่ยอมรับของรัฐบาลกลางของจีนในเรื่องการเป็นหมู่บ้านตัวอย่างแห่งระบบสังคมนิยม
การเดินทางบนอากาศในเวลาราว 2 ชั่วโมง ได้พาเรามาถึงยังสนามบินของเมืองอู๋ซี ซึ่งอากาศค่อนข้างแตกต่างจากกรุงปักกิ่ง เสื้อแจ๊กเก็ตที่เราสวมกันมาจึงต้องถูกถอดเก็บลงกระเป๋า จนเหลือเพียงแต่เสื้อยืด จากนั้นเราก็จับรถต่อมายังหมู่บ้านหัวซีซึ่งอยู่ห่างออกไปอีกไม่เกิน 1 ชั่วโมง แสงแดดอุ่นที่สาดทอเข้ามาในตัวรถทำให้รู้สึกสดชื่นสบายอย่างมาก และทำให้เห็นภาพที่เคลื่อนตามรายทางชัดเจน แมกไม้ยังคงเขียวขจี ถนนหนทางก็ดูเป็นระเบียบ และแทบไม่มีหลุมมีบ่อ ผ่านแม่น้ำและลำคลองมากมาย ซึ่งเป็นภาพที่ทางเหนือของจีนหาดูได้ยากยิ่ง และนี่เป็นข้อได้เปรียบที่ทำให้มณฑลเจียงซูมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจ เพราะมีแม่น้ำเจียงซีที่ไหลหลั่งไปสู่ทะเลตะวันออกอย่างไม่ขาดสาย เป็นเส้นทางขนส่งสินค้าและติดต่อกับโลกภายนอกอย่างดี