จีนปริทรรศน์: ติดตามภารกิจสานสัมพันธ์ไทย-จีน ของประธานสภาที่ปรึกษาการเมืองประชาชนจีน

ระหว่างวันที่ 20-25 เมษายนนี้ นายเจี่ย ชิ่งหลิน ประธานที่ปรึกษาการเมืองประชาชนจีน กำหนดเยือนราชอาณาจักรไทยอย่างเป็นทางการ โดยเริ่มต้นการเยือนที่จังหวัดภูเก็ต กรุงเทพมหานคร และเชียงใหม่ตามลำดับ ตามคำเชิญของวุฒิสภาไทย

ภารกิจการเยือนไทยของนายเจี่ย ชิ่งหลินในครั้งนี้ เป็นการเยือนของประธานสภาปรึกษาการเมืองแห่งประชาชนจีนที่ทิ้งระยะห่างถึง 17 ปี โดยผู้ที่มาเยือนไทยก่อนหน้านี้คือ นายหลี่ รุ่ยหวน สมัยที่นายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรีของไทย

ดังนั้นการเดินทางมายังประเทศไทยของผู้นำระดับสูงของจีนในครั้งนี้ จึงมีนัยสำคัญทางการเมืองอย่างยิ่ง และเป็นการตอกย้ำความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศ ซึ่งนายเจี่ย ชิ่งหลิน ถือได้ว่าเป็นผู้นำเบอร์ 4 ของสาธารณรัฐประชาชนจีน รองจากนายหู จิ่นเทา นายอู๋ ปังกว๋อ และนายเวิน เจีย เป่า

การเยือนต่างประเทศของประธานสภาปรึกษาการเมืองประชาชนจีน เป็นส่วนหนึ่งที่กำหนดไว้ในธรรมนูญและกฎบัตรของสภาฯ ซึ่งระบุถึงหน้าที่ไว้อย่างชัดเจนว่าต้องสนับสนุนนโยบายต่างประเทศและความสัมพันธ์ทางการทูต รวมทั้งการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือกับมิตรประเทศต่างๆ

การเยือนไทยครั้งนี้แม้จะเป็นการเชิญอย่างเป็นทางการของวุฒิสภาไทย เพราะเป็นองค์กรที่มีบทบาทหน้าที่ และที่มาใกล้เคียงกัน คือเป็นคณะบุคคลที่ผ่านการเลือกสรรมาจากแวดวงและสาขาอาชีพต่างๆ ซึ่งมีหน้าที่ให้ความช่วยเหลือและแก้ไขสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศ สร้างเสถียรภพาให้กับการพัฒนา ช่วยในเรื่องความมั่นคงและความสมานฉันท์ให้มุ่งไปสู่การทำงานทางด้านเศรษฐกิจของรัฐ และสนับสนุนนโยบายต่างๆ แต่ต่างกันตรงที่สภาที่ปรึกษาการเมืองประชาชนจีนมีบทบาทจำเพาะเจาะจง อย่างการนำไต้หวันกลับสู่ปิตุภูมิ สนับสนุนความเข้มแข็งและสมานฉันท์ของเขตบริหารพิเศษฮ่องกง และมาเก๊า อีกทั้งสนับสนุนนโยบายชาติพันธุ์ สะท้อนความคิดเห็นและความต้องการในการพัฒนาเศรษฐกิจและวัฒนธรรม สิทธิอันชอบธรรม และผลประโยชน์ของชนชาติพันธุ์ต่างๆ ในการสร้างสรรค์ประเทศ และสนับสนุนนความสามัคคี และความผูกพันของชาวจีนโพ้นทะเล

ดังนั้นจึงจะเห็นได้ว่า นายเจี๋ย ชิ่งหลิน จึงวางแผนเดินทางไปยังจังหวัดภูเก็ตก่อน เพราะเป็นจังหวัดที่มีชาวจีนโพ้นทะเลอาศัยอยู่จำนวนมาก และยังเป็นเป้าหมายการเดินทางท่องเที่ยวที่สำคัญของชาวจีนในทุกช่วงเทศกาลวันหยุดต่างๆ ส่วนที่เลือกจังหวัดเชียงใหม่เป็นที่สุดท้ายนั้น น่าจะเป็นเพราะว่ามีกุงสุลจีนประจำประเทศไทยตั้งอยู่ที่นั่นด้วย และเป็นจังหวัดบ้านเกิดของนายกรัฐมนตรีไทย ก่อนจะเดินทางกลับสู่ประเทศจีน

สำหรับจุดประสงค์ในการเยือนประเทศไทยที่ประกาศอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 12 เมษายน โดยนายก่วน มู่ เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ระบุว่าการเยือนของนายเจี่ย ชิ่งหลิน ครั้งนี้ว่ามีความสำคัญมากต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างจีนกับไทยให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ฉะนั้น จีนกับไทยต่างต้องจับโอกาสนี้เพื่อเชื่อมยุทธศาสตร์เข้าด้วยกัน และขยายความร่วมมือให้ลงลึกยิ่งขึ้น

นายก่วน มู่ ยังระบุอีกว่าจีนและไทยมีการไปมาหาสู่กันในระดับผู้นำบ่อยครั้งตั้งแต่มีการสถาปนาความสัมพันธ์การทูตอย่างเป็นทางการขึ้นมา และมีกลไกความร่วมมือทวิภาคีที่สมบูรณ์แบบ ยิ่งในช่วงปีหลังๆ มานี้ ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้ายิ่งประสบความสำเร็จมากมาย ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศพัฒนาก้าวหน้า

นายก่วน มู่ กล่าวว่า "เวลานี้จีนเป็นเป้าหมายการส่งออกรายใหญ่ที่สุด และเป็นแหล่งสินค้านำเข้ารายใหญ่อันดับที่ 2 ของไทย ส่วนไทยเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับที่ 2 ของจีนในหมู่ประเทศอาเซียน ยอดการค้าระหว่างกันในไตรมาสแรกของปีนี้มีมูลค่า 15,770 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 66 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่จีนลงทุนในไทยเมื่อปี 2011 ที่ผ่านมาเป็นวงเงินทั้งสิ้น 950 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศที่เข้าไปลงทุนในไทยมากเป็นอันดับที่ 2"

เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยยังระบุด้วยว่า ความร่วมมือจีน-ไทยพัฒนาทั่วทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรมนั้นประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง และเป็นสิ่งที่น่าจับตามองมาก

"การเรียนการสอนภาษาจีนเป็นที่นิยมในประเทศไทยมาก เวลานี้ประเทศไทยมีสถาบันขงจื่อ 12 แห่ง ห้องเรียนขงจื่อ 11 แห่ง และสถิติระบุว่า มีชาวไทยเรียนภาษาจีนราว 800,000 คน นอกจากนี้ การท่องเที่ยวทั้งสองประเทศยังเป็นที่นิยมของกันและกัน โดยในปี 2011 ชาวจีนที่เดินทางไปเที่ยวไทยมีมากถึง 1,760,000 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 60 เมื่อเทียบกับปีก่อน"

เอกอัครราชทูตจีนฯ ยังระบุว่า ความร่วมมือจีน-ไทยมีอยู่ในทุกด้าน และทุกแวดวงอย่างกว้างขวาง ทั้งในระดับสูงและลึก ถือว่าเป็นแรงขับเคลื่อนอันเข้มแข็งสำหรับการพัฒนาร่วมกันของสองประเทศ และนำมาซึ่งผลประโยชน์ที่แท้จริงให้กับประชาชนสองประเทศ โดยเชื่อมั่นว่า ภายใต้ความพยายามร่วมกันของรัฐบาลและประชาชนทั้งสองประเทศ ความสัมพันธ์จีน-ไทยจะมีอนาคตที่รุ่งโรจน์ยิ่งๆ ขึ้นไปแน่นอน

นายก่วน มู่ เสริมอีกว่า "เป็นที่ทราบกันดีว่าโลกในปัจจุบันกำลังอยู่ในยุคสมัยแห่งการปรับเปลี่ยน การปฏิรูป และการพัฒนาครั้งใหญ่ ดังนั้นการพัฒนาของอาเซียนก็ย่อมถูกจับตามองจากทั่วโลกเช่นกัน เพราะกระบวนการรวมตัวกันของอาเซียนพัฒนาอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-ไทยและอาเซียนก็มีโอกาสใหม่ๆ ที่จะพัฒนาร่วมกัน ในฐานะที่เป็นมิตรที่ดี จีนมีความยินดีที่หลังผ่านการเลือกตั้งรัฐบาลชุดใหม่แล้ว สถานการณ์ของประเทศไทยมีความมั่นคงขึ้น สังคมมีความปรองดองกัน ทั้งยังสามารถฝ่าวิกฤตน้ำท่วมมาได้ และเศรษฐกิจไทยมีการพัฒนาและฟื้นฟูมาอย่างต่อเนื่อง จีน-ไทยมีความใกล้เคียงกันทางภูมิศาสตร์ มีความคล้ายคลึงกันทางวัฒนธรรม และประชาชนมีสายเลือดเดียวกัน มีพื้นฐานของมิตรภาพที่แน่นแฟ้น ประชาชนทั้งสองประเทศเป็นพี่น้องกันมา 37 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างจีน-ไทยนั้นเป็นแบบอย่างของการอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง เอื้อประโยชน์ต่อกัน และพัฒนาร่วมกันได้บนพื้นฐานทางสังคมที่แตกต่างกัน"

วันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมาเครื่องบินโดยสารพิเศษของบริษัทแอร์ไชน่า ได้ร่อนลงจอดที่จังหวัดภูเก็ตโดยสวัสดิภาพ และมีนายตรี อัครเดชา ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ซึ่งนายเจี่ย ชิ่งหลิน มีการแถลงทางลายลักษณ์อักษรต่อสื่อมวลชนและระบุอย่างชัดเจนว่าต้องการเห็นความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนระหว่างภูเก็ตและเขตภาคใต้ของไทยกับเมืองและมณฑลต่างๆ ของจีนได้รับการส่งเสริมให้มากยิ่งขึ้น

ขณะพบปะกับนายตรี อัครเดชา ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 20 เมษายน นายเจี่ย ชิ่งหลิน กล่าวว่า "ตามประวัติศาสตร์ ภูเก็ตเคยเป็นท่าเรือสำคัญแห่งหนึ่งของการติดต่อไปมาหาสู่กันระหว่างประชาชนจีนกับประชาชนไทย แสดงบทบาทสำคัญในการกระชับมิตรภาพระหว่างสองประเทศ ตั้งแต่จีนกับไทยสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเป็นต้นมา ชาวภูเก็ตได้ต้อนรับผู้นำจีนและคณะผู้แทนจีนที่มาเยือนอย่างอบอุ่น ซึ่งสร้างความประทับใจอย่างลึกซึ้งต่อฝ่ายจีน ครั้งที่เกาะภูเก็ตประสบภัยคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อปี 2004 รัฐบาลจีนก็ได้จัดส่งทีมรักษาพยาบาลมาช่วยบรรเทาภัยอย่างทันท่วงที ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการร่วมทุกข์กับประชาชนไทย นายเจี่ย ชิ่งหลินกล่าวว่า ปัจจุบันความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับไทยคงรักษาไว้ซึ่งแนวโน้มที่พัฒนาอย่างดี ซึ่งการเยือนจีนของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตรเมื่อเร็วๆ นี้ ก็ประสบความสำเร็จด้วยดี สองประเทศได้กำหนดความสัมพันธ์แบบหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ทางประวัติศาสตร์ และมีความหมายอย่างใหญ่หลวง"

จากการนี้จะเห็นได้ว่า นายเจี่ย ชิ่งหลิน ได้แสดงความประสงค์ของจีนในการผูกสัมพันธ์กับเมืองต่างๆ ของจีนในฐานะเมืองพี่เมืองน้องให้มากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะยกระดับความสัมพันธ์และความเข้าใจอันดีต่อกันของท้องถิ่นให้ลงลึกยิ่งขึ้นในหมู่ประชาชนอย่างแท้จริง

หลังเสร็จสิ้นการเยือนที่ภูเก็ตแล้วประธานสภาที่ปรึกษาการเมืองฯ ก็เดินทางต่อไปยังกรุงเทพมหานครในวันที่ 22 เมษายน

ในวันเดียวกันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จออกแทนพระองค์ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต พระราชทานพระราชวโรกาสให้นายเจี่ย ชิงหลิน ประธานสภาที่ปรึกษาทางการเมืองประชาชนจีน แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนและคณะ เฝ้าทูลละอองพระบาทในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของวุฒิสภาไทย

ในการนี้ พลเอก ธีรเดช มีเพียร ประธานวุฒิสภาไทย นางนรรัตน์ พิมเสน เลขาธิการวุฒิสภา และนายกว่น มู่ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ร่วมเฝ้าทูลละอองพระบาทด้วย

นายเจี่ย ชิ่งหลิน ได้กราบบังคมทูลว่า "จีนให้ความสำคัญและทะนุถนอมมิตรภาพกับราชสำนักไทยที่มีมายาวนาน และยินดีจะร่วมกับไทยผลักดันให้ความสัมพันธ์ฉันมิตรที่มีมาช้านานระหว่างสองประเทศแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชฯ และพระราชสำนักไทยให้ความสำคัญและสนับสนุนมิตรภาพจีน-ไทยมาโดยตลอด ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ

ปัจจุบัน ความสัมพันธ์จีน-ไทยพัฒนาด้วยดี ผู้นำสองประเทศดำเนินการเยือนระหว่างกันบ่อยครั้ง ความร่วมมือที่อำนวยประโยชน์แก่กันพัฒนาอย่างรวดเร็ว และทั้งสองประเทศได้สร้างความสัมพันธ์เชิงหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน

ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชดำรัสตอบใจความว่า "ปีหลังๆ มานี้ ความร่วมมือระหว่างไทยกับจีนในด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านวัฒนธรรมและการศึกษาประสบคืบหน้ามาก เมื่อเร็วๆ นี้ ได้เป็นพยานการพัฒนาความสัมพันธ์ไทย-จีน และกล่าวปาฐกถาเรื่องการแลกเปลี่ยนความร่วมมือระหว่างไทยกับจีนที่ฮ่องกง ซึ่งประสบผลสำเร็จที่ดีมาก"

ในโอกาสนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงเป็นผู้แทนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.) แก่นายเจี่ย ชิ่งหลิน ด้วย ซึ่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์ดังกล่าวเป็นชั้นสูงสุดที่พระราชทานให้แก่ผู้นำระดับสูงของมิตรประเทศที่สร้างคุณูปการสำคัญต่อความสัมพันธ์กับประเทศไทย

ต่อจากนั้น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานเลี้ยงอาหารค่ำแก่นายเจี่ย ชิ่งหลินฯ และคณะ ณ วังสระปทุม

ต่อมาวันที่ 23 เมษายน นายเจี่ย ชิ่งหลิน ได้พบปะกับนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎรไทย และพลเอกธีรเดช มีเพียร รองประธานรัฐสภาและประธานวุฒิสภาไทยที่อาคารรัฐสภา

นายเจี่ย ชิ่งหลินกล่าวว่า "สภาปรึกษาการเมืองแห่งชาติจีนยินดีที่จะเสริมสร้างการแลกเปลี่ยนกับวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรไทย เรียนรู้ประสบการณ์ทางการบริหารประเทศและการเป็นที่ปรึกษาของรัฐบาล สร้างผลงานกับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศตนและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างจีนไทย"

ด้านนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ กล่าวว่า "มิตรภาพไทยจีนมีพื้นฐานอันดีและมีประวัติอันยาวนาน สองประเทศมีความสัมพันธ์แบบพี่น้องกัน ซึ่งควรยืนหยัดอยู่บนพื้นฐานพิเศษเช่นนี้ตลอดไป กระชับความร่วมมือในด้านต่างๆ เช่น การค้า การลงทุน การก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะกวดขั้นพื้นฐานและวัฒนธรรม"

ส่วนพลเอกธีรเดช มีเพียร กล่าวว่า "ไทยยินดีร่วมมือกับจีน พัฒนามิตรภาพระหว่างสองประเทศให้ก้าวคืบหน้าต่อไป กระชับความร่วมมือ ร่วมกันพิทักษ์สันติภาพ เสถียรภาพและส่งเสริมการพัฒนาของเอเชีย"

ในวันเดียวกัน เวลา 10.30 น. นายเจี่ย ชิ่งหลิน ประธานที่ปรึกษาทางการเมืองประชาชนจีน ได้พบปะกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า

โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวต้อนรับนายเจี่ย ชิ่งหลิน ประธานที่ปรึกษาทางการเมืองแห่งชาติจีน และกล่าวถึงผลการเดินทางเยือนสาธารณประชาชนจีนในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาว่า "ได้รับการต้อนรับอย่างดีและอบอุ่นจากรัฐบาลจีน และได้พบปะกับผู้นำระดับสูงของจีน อาทิ ประธานาธิบดี รองประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี ประธานรัฐสภา ซึ่งไทยมีความพอใจที่ปัจจุบันความสัมพันธ์ไทย-จีน ได้ขยายตัวในทุกมิติ"

ด้านนายเจี่ย ชิ่งหลิน กล่าวว่า "ไม่ว่าสถานการณ์ระหว่างประเทศและภูมิภาคเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร หลักนโยบายพื้นฐานของจีนที่เป็นมิตรกับไทยจะไม่เปลี่ยนแปลง ยินดีกระชับความร่วมมือกับไทยให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ส่งเสริมให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับไทยพัฒนาอย่างรวดเร็วต่อไป"

และกล่าวอีกว่า "สัปดาห์ที่แล้ว นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตรได้เดินทางไปเยือนจีนด้วยความสำเร็จ บรรลุความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับการพัฒนาความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างจีนกับไทยให้มากยิ่งขึ้น และไทยเป็นประเทศแรกในกลุ่มประเทศอาเซียนที่สร้างความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์กับจีน นับเป็นเปิดช่องทางมากยิ่งขึ้นในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ"

ประธานที่ปรึกษาทางการเมืองประชาชนจีนระบุอีกว่า "การลงนามในแผนปฏิบัติการความร่วมมือ ฉบับที่ 2 ที่ครอบคลุมหลากหลายสาขา อาทิ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว การศึกษา การทหาร วิทยาศาสตร์ ฯลฯ นับเป็นการวางแผนการพัฒนาความสัมพันธ์ที่มีประโยชน์ยิ่ง และเชื่อมั่นว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า จีน-ไทยจะสามารถบรรลุเป้าหมายทางการค้าที่ตั้งเป้าไว้ 150,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อย่างแน่นอน ทั้งนี้ รัฐบาลจีนเองให้ความสำคัญอย่างมากกับความสัมพันธ์จีน-ไทย และพร้อมที่จะร่วมมือกับไทยเพื่อให้ความสัมพันธ์ทวิภาคีก้าวหน้าบนพื้นฐานที่ดีอยู่แล้ว"

ด้านนายกรัฐมนตรีไทยได้ย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคนี้ของไทยร่วม กับจีน พร้อมชื่นชมแนวทางการพัฒนาประเทศของจีนและความสำเร็จของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่มีบทบาทนำในการพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยกล่าวถึงการเดินทางไปเยี่ยมชมการบริหารจัดการน้ำ การเยี่ยมชมรถไฟความเร็วสูง และการวางผังเมืองในอนาคตที่เมืองเทียนจิน

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างสองประเทศ ซึ่งรวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐสภาไทย- จีน และการแลกเปลี่ยนการเยือนซึ่งกันและกัน ว่ามีส่วนสำคัญในการช่วยยกระดับความสัมพันธ์ของสองประเทศ รวมถึงช่วยขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ พร้อมกับขอบคุณนายเจี่ย ชิ่งหลิน ที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันและส่งเสริมความสัมพันธ์ของสภาฯ ทั้งสองประเทศด้วย

ภายหลังการหารือ นายเจี่ย ชิ่งหลิน ประธานที่ปรึกษาทางการเมืองแห่งชาติจีน ได้มอบภาพเขียนจีนรูปดอกโบตั๋น ซึ่งเป็นดอกไม้ประจำชาติจีนแก่นายกรัฐมนตรีไทยเป็นที่ระลึกด้วย

ต่อมาเวลา 15.30 น. พลเอกธีรเดช มีเพียร ประธานวุฒิสภา ได้นำนายเจี่ย ชิ่งหลิน และคณะ เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ณ ห้องรับรองทำเนียบองคมนตรี พระราชอุทยานสราญรมย์

นายเจี่ย ชิ่งหลินกล่าวว่า "จีน-ไทยเหมือนญาติกัน การที่ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศพัฒนาได้ดี ก็เนื่องจากผู้นำสองประเทศให้ความสำคัญ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ฯ พระบรมราชินีนาถ รวมทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ ตลอดจนองคมนตรีทุ่มเทกับการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับจีน รัฐบาลชุดต่างๆ ก็ผลักดันความร่วมมือกับจีน ประชาชนทั้งสองประเทศมีความผูกพันที่ลึกซึ้ง เป็นหลักประกันให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับไทยพัฒนาอย่างมั่นคงในระยะยาว"

ประธานสภาปรึกษาการเมืองฯ ยังกล่าวอีกว่า "ยินดีที่จะร่วมมือกับไทยในการกระชับมิตรภาพระหว่างจีนกับไทยให้พัฒนาอย่างต่อเนื่องภายใต้สถานการณ์ใหม่ ให้ประชาชนทั้งสองประเทศมีสันติสุข และสร้างคุณประโยชน์เพื่อความมั่นคง การพัฒนา และความเจริญรุ่งเรืองของภูมิภาคนี้"

ในการสนทนา ประธานสภาปรึกษาการเมืองแห่งชาติ สาธารณรัฐประชาชนจีน และประธานองคมนตรี เห็นตรงกันว่า สาธารณรัฐประชาชนจีนและประเทศไทย เป็นมิตรประเทศที่ใกล้ชิดสนิทสนมกัน อีกทั้งความสัมพันธ์และความร่วมมือของทั้งสองประเทศ นับวันจะยิ่งพัฒนาและแน่นแฟ้นมากขึ้น โดยต่างให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลกันเสมอมา นับเป็นลักษณะพิเศษอันโดดเด่นของความสัมพันธ์ไทย-จีน

และเช้าวันที่ 24 เมษายน นายเจี่ย ชิ่งหลิน ประธานสภาปรึกษาการเมืองประชาชนจีน ซึ่งกำลังเยือนจังหวัดเชียงใหม่ ได้เยี่ยมชมวัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับพระเทพวรสิทธาจารย์ เจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหารและพุทธศาสนิกชนในท้องถิ่น เกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรมระหว่างจีนกับไทย

นายเจี่ย ชิ่งหลินกล่าวว่า การแลกเปลี่ยนทางพุทธศาสนาระหว่างจีนกับไทย เป็นส่วนประกอบสำคัญของการไปมาหาสู่กันฉันมิตรของสองประเทศ วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหารมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน รูปแบบการสร้างวัดสง่างามเป็นพิเศษ เป็นที่จำวัดของพระอาวุโสหลายรูป จึงมีชื่อเสียงระดับสูงในประเทศจีน วงการพุทธศาสนาไทยเคยมอบพระพุทธรูปที่แกะสลักด้วยหยกมากมายให้กับประเทศจีน ขณะที่แวดวงพุทธศาสนาจีนเคยเชิญพระบรมสารีริกธาตุข้อพระหัตถ์วึ่งประดิษฐานอยู่ที่วัดฝ่าเหมิน มณฑลส่านซี และพระบรมสารีริกธาตุพระเขี้ยวแก้วที่ประดิษฐานวัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง มายังประเทศไทยให้พุทธศาสนิกชนสักการะบูชา และเป็นที่ยินดีของประชาชนไทยเป็นอย่างยิ่ง

สิ่งที่นายเจี่ย ชิ่งหลิน ย้ำในครั้งนี้นั้น เป็นเรื่องที่ควรใคร่ครวญอย่างยิ่ง เพราะวงการพระพุทธศาสนาของทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์อันดีกันเรื่อยมา อีกทั้งเป็นศาสนาที่ประชาชนทั้งสองประเทศนับถือมากที่สุด และมีประวัติศาสตร์ยาวนาน น่าจะเป็นเงื่อนไขที่ดีในการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนให้ใกล้ชิดกันในระดับที่ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น

ต่อมาในเช้าวันที่ 25 เมษายน นายเจี่ย ชิ่งหลิน และคณะก็ได้ขึ้นเครื่องบินพิเศษเดินทางกลับสู่ประเทศจีนจากสนามบินนานาชาติจังหวัดเชียงใหม่ ถือว่าเป็นอันเสร็จสิ้นการเยือนไทยอย่างเป็นทางการด้วยความสำเร็จลุล่วงด้วยดี และเป็นการย้ำความสัพันธ์อันดีระหว่างประชาชน รัฐบาล วุฒิสภา และผู้นำทั้งสองประเทศ

พัลลภ สามสี

--------------------------------------------------------------------------------------------------

อ้างอิง