อาคารผู้โดยสารขาเข้าของสนามบินถือว่าเป็นแดนแห่งรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ได้เห็นคนมารอคอยรับญาติมิตรที่ห่างหายกันไปตั้งแต่ไม่กี่วัน จนถึงขั้นนับสิบ ๆ ปี คนรอก็รอด้วยใจจดใจจ่อ รอด้วยความหวัง บ้างก็มีช่อดอกไม้หรูถืออยู่ในมือ พร้อมที่จะต้อนรับการกลับมาสู่อ้อมกอดของกันและกัน จึงไม่น่าแปลกใจที่เมื่อเจอจะทักกันแต่ไกลด้วยแววตาท่าทางที่เปี่ยมสุข บ้างก็กอดกันกลม แต่ก่อนมักเห็นแต่ฝรั่งมังค่าทำกัน แต่เดี๋ยวนนี้ที่จีนก็นิยมกอดถ่ายทอดความรักที่มีต่อกัน ดิฉันว่าเป็นสิ่ง การกอดมันถ่ายทอดความรู้สึกที่มีต่อกันได้ล้ำลึกกว่าคำพูดหรือการกระทำอื่น ๆ มาก
สนามบินเดียวกัน แต่เป็นอาคารผู้โดยสารขาออก อารมณ์ช่างต่างกันสิ้นเชิง ที่นี่ เรามักเห็นภาพแห่งความอาลัยอาวรณ์ มีน้ำตาแทนรอยยิ้ม มีเสียงสะอื้นแทนเสียงหัวเราะ ก็เพราะคนกำลังจะลาจากกัน บางท่านมีทั้งครอบครัว ญาติมิตรมาส่งเป็นขบวน ดู้แล้วท่าจะจากกันไกลและไปนาน
ช่วงปลายเดือนมิถุนายน เป็นช่วงที่สถาบันการศึกษาในจีนจะสิ้นสุดปีการศึกษา มหาวิทยาลัยต่าง ๆ จะจัดงานมอบปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา สถาบันการศึกษาจะปิดภาคฤดูร้อนในช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม ซึ่งช่วงนี้คนจีนก็จะพากันท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ ถือโอกาสที่ลูกปิดเทอมใหญ่เที่ยวด้วยกันทั้งครอบครัวให้สนุกสุขใจ
วันอาทิตย์วานนี้(1 กรกฎาคม) ดิฉันเดินทางมาที่อาคารผู้โดยสาร 3 สนามบินนานาชาติโส่วตู เพื่อเดินทางกลับมาทำธุระที่เมืองไทย สังเกตว่าเคาน์เตอร์ของการบินไทยคราค่ำไปด้วยลูกค้าคนไทยที่มากันเป็นครอบครัว มีเสียงหังเราะคิกคัก แม้เป็นผู้โดยสารขาออกแทนที่จะมีบรรยากาศแห่งความซึมเศร้าแต่กลับมีเสียงหัวเราะมาแทนที่ สงสัยจึงถามไถ่หลายคณะและพบว่าส่วนใหญ่ล้วนเป็นครอบครัวคนไทยที่มาร่วมพิธีรับปริญญาของบุตรหลาน การพาผู้สำเร็จการศึกษากลับบ้านหลังจากที่เหน็ดเหนื่อยกับการศึกษาหาความรู้ ห่างไกลจากครอบครัว เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งมารับ มาร่วมแสดงความยินดีและพากันกลับพร้อมกับความสำเร็จ ซึ่งบางคนถึงขั้นได้งานแล้วจึงเป็นภาพที่มีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ เฉพาะคณะผู้สำเร็จการศึกษาที่กลับด้วยสายการบินไทยเที่ยวบินเดียวกันก็มีนับสิบคน ซึ่งแสดงว่าคนไทยให้ความสนใจในการมาเรียนที่เมืองจีนมากยิ่งขึ้น ทั้งหลักสูตรระยะสั้นและระยะยาว
ตอนอยู่ที่ร้านดิวตี้ฟรีของจีนที่สนาบิน นักช้อปไทยก็ไม่น้อยหน้าใคร เดินช้อปกันครื้นเครง แถมเทียบราคาที่บ้านเขากับของบ้านเรา พอเห็นเขาเทียบราคา ดิฉันก็จดราคาดิวตี้ฟรีที่บ้านเขา มาเทียบกับดิวตี้ฟรีที่บ้านเราด้วย เมื่อถึงสนามบินสุวรรณภูมิก่อนผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ผ่านร้านดิวตี้ฟรี จึงถือโอกาสเทียบราคา ผลปรากฏว่า สินค้าที่ดิวตี้ฟรีสนามบินนานาชาติโสว่ตูตอนนี้ถูกกว่าดิวตี้ฟรีที่สุวรรณภูมิ ซึ่งสอดรับกับที่เพื่อนคนจีนซึ่งทำงานอยู่ที่ซีอาร์ไอ และเข้ามาเที่ยวไทยเมื่อเดือนก่อนบอก เพราะเขาจดราคาแล้วเอามาเทียบกัน ในท้ายที่สุดแทนที่จะซื้อจากที่บ้านเราเขาก็ไม่ซื้อ กลับไปซื้อที่บ้านเขา คนจีนละเอียดเรื่องการใช้เงินมาก
ในเที่ยวบินเดียวกัน มีแฟนภาคภาษาไทย ซีอาร์ไอเข้ามาทัก บอกคุ้นหน้าจากเว็บไซต์ คุยกันจึงรู้ว่าเธอเป็นคนจีนที่เรียนภาษาไทย จบจากมหาวิทยาลัยภาษาต่างประเทศปักกิ่งหรือเป่ยไหว้ มีเพื่อร่วมรุ่นทำงานที่ซีอาร์ไอ เธอจบมาหลายปีแล้ว และตอนนี้มาประจำอยู่ที่บริษัทในไทย เธอซื้อบุหรี่ที่ดิวตี้ฟรีไทยตั้งใจจะนำมาฝากเพื่อนในไทย เธอเล่าว่า เธอมาอยู่ที่ไทยรู้สึกสะดวกสบายดี มีเพื่อนดี บางทีก็มีเหงา ก็คงจะเหมือนกับเรา ที่ไปอยู่บ้านเธอ แม้จะสะดวกสบายดี แต่บางทีก็มีเหงา เพราะอยู่ที่ไหน ๆ จะให้คุ้นเหมือนอยู่บ้านเราน่ะ เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่เมื่อต้องอยู่เพื่อภาระหน้าที่ ก็เพียงทำให้ดีที่สุดเท่านั้น คนจีนบอกว่า ปัจจัย 4 คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และการเดินทาง ดังนั้น เมื่อต้องเดินทาง ต้องอยู่ที่ไหน เพียงอยู่ให้มีความสุขเท่านั้นก็พอแล้ว จริงไหม?