นอกจากปัญหาสุขภาพและปัญหาครอบครัวแล้ว ปัญหาการทำงานคงเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตของประชาชนทั่วไปอีกเรื่องหนึ่ง ปีหลังๆนี้ ผู้คนมักจะได้ยินคำบ่นว่า หางานยากมากอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะหลังจากเกิดวิกฤตการเงินในเอเชียและทั่วโลก อัตราการว่างงานในประเทศตะวันตกสำคัญเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ตลาดแรงงานของประเทศเอเชียส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก แม้ว่าเศรษฐกิจจีนยังคงไว้ซึ่งแนวโน้มการเติบโตอยู่ แต่สภาพเศรษฐกิจโลกที่ซบเซายังทำให้จีนต้องเผชิญกับความยากลำบากอยู่ไม่น้อย
ผลกระทบจากภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอก โอกาสการได้งานภายในประเทศลดลง แต่จำนวนผู้ที่ต้องการหางานทำเพิ่มขึ้นทุกปี จึงเกิดความขัดแย้งที่รุนแรงยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปีนี้ มีบัณฑิตใหม่ถึง 6,990,000 คน เพิ่มขึ้น 190,000 คนเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งทำให้สถานการณ์การหางานทำที่เลวร้ายอยู่แล้วทวีความตึงเครียดยิ่งขึ้น ผู้คนล้อกันว่า "ไม่มียากที่สุด มีแต่ยากยิ่งขึ้น"
สำหรับบัณฑิตใหม่ส่วนใหญ่ในปัจจุบัน การได้งานที่ถูกใจสุดสุดตั้งแต่แรกคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ งานชิ้นแรกบางงานยังคงไม่สามารถสนองความต้องการในชีวิตประวำวันได้อย่างเพียงพอ เพราะผู้ว่าจ้างให้เงินเดือนน้อยมาก และให้สวัสดิการน้อยมาก ซึ่งต่ำกว่าความปรารถนาของบัณฑิตใหม่เหล่านี้อย่างมาก ดังนั้น พอมีประสบการณ์ในการทำงานบ้างแล้ว พอมีโอกาส บัณฑิตใหม่ก็รีบเปลี่ยนงานเพื่อได้เงินเดือนสูงกว่าและให้ชีวิตดีขึ้น
นายซุน หยุ่ง ผู้รับผิดชอบฝ่ายทรัพยากรบุคคลของบริษัทขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แห่งหนึ่ง เวลาสอบสัมภาษณ์ผู้สมัครงาน ข้อแรกเขามักจะถามว่า "หากคุณได้งานชิ้นนี้ คุณคิดว่าจะทำงานตำแหน่งนี้นานแค่ไหน?" นี่สะท้อนให้เห็นถึงสภาพความเป็นจริงในตลาดแรงงานปัจจุบันอย่างหนึ่งคือ มีการเปลี่ยนงานบ่อยทำให้ผู้ว่าจ้างต้องเตรียมรับมือกับความเสี่ยงที่จะสูญเสียบุคลากรได้ทุกเวลา
อันที่จริง บัณฑิตใหม่ส่วนใหญ่มีแผนการประกอบอาชีพทั้งระยะสั้นและระยะยาวอยู่ในใจ นายซุน หยุ่งเองก็เช่นกัน ตั้งแต่จบการศึกษาจนเมื่อปี 2002 ถึงปัจจุบัน เขาเคยเปลี่ยนงานมากกว่า 10 ครั้ง ช่วงแรก งานที่ทำได้นานที่สุดแค่ปีเดียวเท่านั้น งานบางชิ้นทำไม่ถึง 3 เดือนก็ลาออกแล้ว จนถึงปี 2009 จึงได้งานที่ค่อนข้างถูกใจและทำถึงปัจจุบัน เขาบอกเล่าว่า ช่วงแรก เขาเคยทำงานในบริษัทขนาดเล็กหลายแห่ง ซึ่งให้เงินเดือนน้อยมาก และต้องทำงานเพิ่มในวันเสาร์อาทิตย์บ่อยๆ บางทีไม่มีวันหยุดเลย
ผลการสำรวจสาเหตุการเปลี่ยนงานของบัณฑิตใหม่ระบุว่า มี 30.3% ลาออกเพราะเห็นว่าไม่มีอนาคต 27.8% ลาออกเพราะเงินเดือนหรือสวัสดิการไม่ดี และ 13.8% ลาออกเนื่องจากเห็นว่าบริษัทขาดวัฒนธรรมในการทำงาน ทั้งนี้แสดงให้เห็นว่า การขาดกำลังดึงดูดที่เพียงพอของบริษัทผู้ว่าจ้างก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้พนักงานเปลี่ยนงานบ่อย