ป้องกันและรับมือกับมะเร็งอย่างไร (1)
  2015-07-14 15:49:29  cri

 

นายหม่า หยุน เจ้าของอาลีบาบา หนึ่งในอภิมหาเศรษฐีของจีนกล่าวว่า "ภายใน 10 ปี มะเร็งปอด มะเร็งตับและมะเร็งกระเพาะอาหารจะเข้าสู่ทุกครอบครัวของจีน ผมกังวลว่า เราขยันทำงาน สุดท้ายเงินที่ได้มาล้วนใช้ในการรักษาโรค"

รายงานเนื้องอกและมะเร็งของจีนประจำปี 2012 ระบุว่า ทุกนาที มี 6 คนถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง รายงานของปี 2014 คงมีจำนวนมากกว่านี้อีก อัตราการเป็นมะเร็งของจีน ในกลุ่มคนอายุ 35-39 ปีเป็น 87.07 ต่อ 1 แสน อายุ 40-44 ปีเพิ่มขึ้นประมาณ 1 เท่า เป็น 154.53 ต่อ 1 แสน กลุ่มคนที่มีอายุมากกว่า 50 ปี อัตราการเป็นมะเร็งสูงถึง 80% ขึ้นไป

ตัวเลขเหล่านี้ ทำให้เรารู้สึกว่า มะเร็งอยู่ใกล้ตัวมาก

นายแพทย์ถัง จื้อชง แผนกมะเร็งของโรงพยาบาลควีนอลิซาเบท (Queen Elizabeth Hospital) ฮ่องกงเขียนหนังสือเรื่อง "ฟื้นฟูสมรรถนะของม้าม ตับ ลำไส้และไต เพื่อห่างไกลโรคภัยไข้เจ็บ" แนะนำถึงวิธีการรักษาสุขภาพที่ปฏิบัติได้ง่ายและเป็นผลดี

นายแพทย์ถัง จื้อชงเขียนว่า เมื่อก่อนมีความเข้าใจผิดว่า เมื่อมีเนื้องอกก็คิดแต่จะผ่าตัดมันออกจากร่างกาย แล้วใช้ยาเคมีหรือฉายรังสีฆ่าเซลล์มะเร็งให้ตายหมด แต่ใช้ยารุนแรงอย่างนี้ แม้ว่าอาจจะฆ่าเซลล์มะเร็งได้ แต่ผู้ป่วยก็จะมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตด้วย ดังนั้น การักษามะเร็ง ต้องใช้วิธีการที่สุขุมรอบคอบและรอบด้าน

1. การรักษาม้ามควรรับประทานธัญพืช ควรสร้างความเคยชินในการรับประทานธัญพืชทุกวัน ทุกมื้อ รวมถึงถั่วแดง ถั่วเขียว ข้าวฟ่าง เมล็ดบัว เมื่อม้ามดีแล้ว ตับก็จะดีด้วย แต่ละวันมีสองเวลาที่สำคัญสำหรับม้าม คือเที่ยงวันและเที่ยงคืน ในสองเวลานี้ ต้องให้ม้ามพักผ่อนอย่างดี เพราะม้ามเป็นอวัยวะผลิตเลือด ธัญพืชสามารถบำรุงม้าม

ยิ่งนอนยิ่งเหนื่อย เป็นสัญญาณเตือนว่าตับอาจมีปัญหา คนในสังคมปัจจุบัน ตับมักไม่ค่อยแข็งแรง สาเหตุสำคัญมี 3 ประการคือ นอนดึก รับประทานอาหารทอดและอารมณ์ไม่ดี การรับประทานอาหารทอดมากเกินควร จะทำให้ไขมันตกค้างอยู่ในตับ และผู้ที่ดื่มเหล้านานกว่า 5 ปี จะมีโรคตับ นอกจากนี้ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมีและPM2.5 ล้วนเป็นพิษต่อตับ ทำให้การนอนไม่มีคุณภาพ ผลวิจัยต่างประเทศพบว่า ถ้าทำงานติดต่อกันนานกว่า 90 นาที จะมี 30% เป็นอาการปวดคอ ปวดหลัง เครียด และนอนไม่หลับ ผู้เชี่ยวชาญเสนอให้เข้านอนก่อน 23.00 น. และรับประทานอาหารบำรุงตับก่อนเข้านอน เช่น มะละกอ หอยและเห็ดหูหนูดำ เป็นต้น

 

2. บำรุงลำไส้ใหญ่ ถ้าร่างกายรับใยอาหารไม่พอเพียง จะเกิดปัญหาท้องผูก ถ้าลำไส้ดี ทุกเช้าจะไม่ใช่ตื่นนอนจากนาฬิกาปลุก กลับตื่นจากการเคลื่อนตัวของลำไส้ใหญ่ เพราะในช่วงระหว่าง 05.00-07.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ลำไส้ใหญ่เคลื่อนตัวมากที่สุด ดังนั้น ช่วงนี้ควรไปขับอุจจาระ ขจัดสารพิษออกจากร่างกาย ตับไม่ดีเกี่ยวข้องกับลำไส้ใหญ่ เมื่อลำไส้ใหญ่คล่องตัวแล้ว ตับก็จะดีเป็นปกติ และระบบภูมิต้านทานก็จะฟื้นตัวทำงานเป็นปกติได้ด้วย และเลือดที่ส่งไปถึงหัวใจก็จะเป็นเลือดที่สะอาด จึงไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นโรคภัยไข้เจ็บเลย

3. รักษาอารมณ์ที่ดีเป็นผลดีต่อสุขภาพ ลำไส้กลัวความเครียดอย่างมาก อารมณ์ไม่ดีจะทำให้ระบบย่อยอาหาร เช่น กระเพาะอาหารและลำไส้ทำงานไม่เป็นปกติ ลำไส้ไม่เพียงแต่ต้องย่อยอาหารแล้ว ยังเป็นอวัยวะภูมิต้านทานที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย เซลล์ภูมิต้านทาน 70% อยู่ในลำไส้ อารมณ์และแรงกดดันจะส่งผลกระทบต่อลำไส้ บางคนมีแรงกดดันจากการทำงาน เครียดมาก ทำให้เกิดโรค ลำไส้ขึ้น เช่น ท้องผูก ท้องเสีย ปวดท้อง และการขับถ่ายไม่เป็นระเบียบ

4. การบำรุงไตมีความสำคัญมาก ไตเป็นอวัยวะสำคัญในการขจัดสารพิษ เลือดทั่วทั้งร่างกายจะไหลผ่านไต 20 ครั้งต่อชั่วโมง ของเสียในเลือดผ่านไตแล้วจะกลายเป็นปัสสาวะถูกขจัดออกจากร่างกาย แต่ถ้าในร่างกายมีสารพิษมาก ไตจะมีภาระหนักเกินไปจนเกิดอาการปวดเอว บวม เลือดเป็นพิษ ความดันโลหิตสูง ท่อปัสสาวะอักเสบ เหน็ดเหนื่อย นอนไม่หลับ หูอื้อ ผมร่วง สายตาไม่ดี จนกระทั่งเกิดโรคประสาท

ไม่ว่าน้ำดื่ม อาหาร อากาศและความกดดัน ถ้าร่างกายได้รับแล้ว จะต้องเกิดสารพิษ และสารพิษเหล่านี้จะต้องผ่านไตอย่างแน่นอน ดังนั้น การบำรุงไตจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

วิธีการรักษาโรคที่ดีที่สุดคือการป้องกัน สาเหตุที่ทำให้ไตเกิดปัญหาขึ้นมีหลายประการ เช่น 1.รับประทานอาหารโปรตีนสัตว์สูงเกินไป จนทำให้ไตต้องทำงานหนักเกินควร 2. การทำงานหนักเกินไป และมีแรงกดดันมากเกินไป ไม่มีเวลาพักผ่อนเพียงพอ 3. รับประทานยา เช่น ยาแก้อักเสบ ยาแก้ปวดและยาปฏิชีวนะ 4. มลภาวะทางน้ำ ดิน อากาศและเสียงรบกวน 5. ดื่มเหล้า กาแฟ น้ำอัดลม และเครื่องดื่มแช่เย็นมากเกินควร 6. ทานอาหารจานเย็นมากไป และ 7. การดื่มน้ำไม่พอ

ดังนั้น การบำรุงไตจึงต้องดื่มน้ำเยอะ รับประทานผลไม้ให้มาก โดยเฉพาะผลไม้ประเภทสตอเบอร์รี บลูเบอร์รี แตงโม และน้ำมะนาวเลมอน นอกจากนั้น ยังควรรับประทานอาหารโปรตีนพืช ออกกำลังตามความเหมาะสม รับประทานอาหารแปรรูปให้น้อย รักษาอารมณ์ที่ดี

 ผู้เชี่ยวชาญพบว่า การเป็นมะเร็งเกี่ยวข้องกับแรงกดดันอย่างใกล้ชิด ผู้ป่วยมะเร็งเกือบทุกคน ก่อนจะเป็นมะเร็งประมาณ 6 เดือน ย่อมได้เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดแรงกดดันมาก การลดแรงกดดันมีหลายวิธี ที่สำคัญที่สุดคือ พักผ่อน การพักผ่อน ต่างกันกับการนอน ต้องออกจากงานหรือเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดแรงกดดัน เช่น ไปท่องเที่ยว หรือในวันทำงาน ไม่รับประทานอาหารในห้องทำงาน หรือนั่งตามโต๊ะทำงาน และหลังรับประทานอาหารแล้ว จัดเวลา 15 นาทีทำอะไรที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องงาน หรือจัดเวลาสัก 2-3 วันไปพักผ่อนหย่อนใจในชานเมืองหรือต่างถิ่นที่ไม่ไกลมากนัก กลับมาแล้วจะได้รู้สึกสดใสยิ่งขึ้น และมีอารมณ์ที่ดี ได้คลายความเครียด หรืออย่างน้อยไปดูหนัง ดูคอนเสิร์ต เพื่อความสบายใจ

นอกจากการพักผ่อนแล้ว ยังควรออกกำลังกายอย่างมีระเบียบ แต่ไม่ควรใช้แรงมากเกินไป เพราะจะทำให้ร่างกายยิ่งเหน็ดเหนื่อย การออกไปข้างนอกตากแดดก็เป็นผลดีต่อการคลายความเครียด ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าจำนวนมากไม่ชอบออกไปข้างนอก ไม่ชอบไปใกล้ชิดกับธรรมชาติ และตากแดด จึงทำให้ร่างกายขาดแคลเซียม และเกิดความหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น

ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง
ตอบคำถามออนไลน์
ทบทวนรายการน่าสนใจ
ภาพยอดฮิต
เว็บไซต์ึเพื่อนซีอาร์ไอ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Play Stop
© China Radio International.CRI. All Rights Reserved.
16A Shijingshan Road, Beijing, China. 100040