ที่ว่า "ใกล้กันมากขึ้น" ก็เพราะว่าขณะที่นี้ที่เมืองไทยค่อนข้างกระตือรือล้นในความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนมากขึ้นเป็นลำดับ

ล่าสุดทางการเมืองชิงเต่า มณฑลซานตง ส่งผู้แทนเดินทางมายังประเทศไทย เพื่อลงนามความร่วมมือกับบริษัทมติชน จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นสื่อยักษ์ใหญ่ที่ครบวงจรแห่งหนึ่งของเมืองไทย เพื่อเปิดพื้นที่ทางวัฒนธรรมและการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกัน

สื่อในเครือของมติชนนั้นก็อย่างเช่น หนังสือพิมพ์มติชน หนังสือพิมพ์ข่าวสด หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ นิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ นิตยสารศิลปวัฒนธรรม นิตยสารเส้นทางเศรษฐี นิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน สำนักพิมพ์มติชน โรงพิมพ์ปากเกร็ด ศูนย์อาชีพและธุรกิจมติชน บริษัทสายส่งงานดี และล่าสุดก็เพิ่งเปิด "มติชนทีวี" ขึ้น เพื่อรายงานข่าวแบบเจาะลึกสไตล์มติชนทางช่องโทรทัศน์ออนไลน์ ซึ่งมีผลตอบรับที่ดีจากผู้ชมทั่วประเทศ

จะเห็นได้ว่าสื่อมวลชนไทยแห่งนี้มีความครอบคลุมอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ทางการชิงเต่าเล็งที่จะสร้างความร่วมกับกับสื่อของไทย และเลือกมติชนมาเป็นพาร์ทเนอร์ในการแลกเปลี่ยนกันในครั้งนี้

สิ่งนี้นับเป็นนิมิตรหมายที่ดียิ่ง เพราะปกติแล้วการลงนามเช่นนี้จะเกิดขึ้นระหว่างหน่วยงานระหว่างภาครัฐเท่านั้น อย่างเช่นการลงนามแลกเปลี่ยนรายการระหว่างสถานีวิทยุนานาชาติแห่งประเทศจีนกับสถานีวิทยุแห่งประเทศไทย หรือการลงนามความรับรู้ร่วมกันและเผยแพร่รายการระหว่างสถานีวิทยุนานาชาติแห่งประเทศจีนกับสถานีวิทยุแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย การลงนามบันทึกช่วยจำเพื่อการร่วมกันส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาจีนระหว่างสำนักงานกิจการชาวจีนโพ้นทะเลและมหาวิทยาลัยหลายแห่งของไทย ฯลฯ เหล่านี้ล้วนเป็นการจับมือกันระหว่างภาครัฐกับภาครัฐ ซึ่งแน่นอนว่ามีการปฏิบัติต่อเนื่องมาด้วยดี จนสามารถปูพื้นฐานความเข้าใจในด้านต่างๆ ให้แน่นแฟ้นกลมเกลียว และก็ถือได้ว่าเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้เกิดการร่วมมือกับเอกชนไทยขึ้นในครั้งนี้

บรรยากาศการลงนามในวันนั้นเต็มไปด้วยเป็นกันเองและน่ายินดี ซึ่งคณะผู้บริหารบริษัทมติชน จำกัด (มหาชน) ก็ได้ให้ความสำคัญอย่างสูงด้วยการเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง นอกจากนี้ยังมีการเตรียมความพร้อมกับการเปิดตัวเป็นมิตรกับจีนด้วยการส่งเสริมให้พนักงานเรียนภาษาจีนฟรีในบริษัทในทุกสัปดาห์ด้วย

นี่คือหนึ่งในนิมิตรหมายแห่งความใกล้ชิดที่เพิ่งเกิดขึ้นไปหมาดๆ เมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมานี้เอง

นอกจากนี้แล้ว ขณะนี้ที่เมืองไทยกำลังตื่นเต้นและตื่นตัวกับ "รถไฟความเร็วสูง" ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ และทีมงานจากประเทศจีนก็เป็นที่น่าสนใจของคนไทยอย่างยิ่ง เพราะว่าส่งราคาประมูลมาในจำนวนที่น่าพอใจ ไม่สูงเกินไป และที่สำคัญใช้เวลาในการก่อสร้างและวางระบบต่างๆ ไม่นานเกินรอ เลยทำให้หลายๆ คนใจจดใจจ่ออยากจะได้สัมผัสความเร็วอันล้ำสมัยนรี้โดยเร็วที่สุด

ขนาดว่ามีการจัดเตรียมเมนูอาหาร "ปิ่นโต" ที่จะเสริฟบนรถไฟความเร็วสูงออกมาให้สื่อมวลชนได้เห็นน่าค่าตากันล่วงหน้าแล้วด้วย เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์โครงการรถไฟความเร็วสูงที่รัฐบาลไทยกำลังเปิดให้มีการเสนอราคากันอยู่ ซึ่งอาหาร "ปิ่นโต" นี้ก็ได้นำเอกลักษณ์อาหารไทยที่ชื่อก้องโลกอยู่แล้วมาออกแบบทั้งรสชาติและหีบห่อให้น่าสนใจและมีความเอร็ดอร่อยไม่แพ้เมนูเด็ดจากร้านอาหารดัง

และในไม่ช้านี้ คนไทยก็จะได้ยลยนตรกรรมแห่งสุดขีดความเร็วที่ทางรัฐบาลจีนจะนำเครื่องบินขนส่งหัวรถจักรบินตรงมาลงที่สนามบินดอนเมือง และจัดเป็นนิทรรศการให้คนไทยได้เห็นกับตาว่า "รถไฟความเร็วสูง" ที่ว่านี้มีสมรรถนะสุดยอดอย่างใดบ้าง

ด้วยโครงการนี้จะเป็นการกำหนดทิศทางการเจริญเติบโตของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลยทีเดียวก็ว่าได้ เพราะแผ่นดินทางบกของประเทศสมาชิกอาเซียนจะสามารถเชื่อมต่อกันด้วยรถไฟได้เป็นครั้งแรก และแน่นอนว่าประเทศไทยซึ่งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่ดี ก็ย่อมจะได้รับประโยชน์จากโครงการนี้มากที่สุด เพราะจะกลายเป็นจุดศูนย์กลางของเพื่อนสมาชิกประเทศ

สองข่าวสองกระแสนี้เกิดขึ้นในช่วงต้นปีใหม่เพียงเดือนเดียว ซึ่งนับเป็นข่าวดีในสายธารแห่งมิตรภาพที่กำลังก่อเกิดงอกงามขึ้น เป็นนิมตรหมายที่แสดงให้เห็นว่า ในทุกวงการต่างๆ ระหว่างทั้งสองประเทศได้ "ใกล้กันมากขึ้น"

แน่นแฟ้นกันมากขึ้น

พัลลภ สามสี