วันที่ 8 เมษายนนี้ สภาผู้แทนราษฎรฟิลิปปินส์ตรวจสอบเหตุการณ์ตำรวจฟิลิปปินส์ 44 นายถูกสังหารขณะปฏิบัติหน้าที่ที่ภาคใต้ฟิลิปปินส์ต่อไป วันเดียวกัน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฟิลิปปินส์ผู้หนึ่งกล่าวในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรว่า เนื่องจากสหรัฐฯมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจฟิลิปปินส์เมื่อวันที่ 25 มกราคมปีนี้ จึงต้องตรวจสอบเหตุการณ์นี้ให้ลุ่มลึกยิ่งขึ้น นายอีวาน พี การ์เซีย (Evan P Garcia) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศฟิลิปปินส์ระบุว่า ฟิลิปปินส์ไม่ได้ตกอยู่ในสงครามพร็อกซี่ใดๆ เขาไม่ยอมรับว่า สหรัฐฯมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว โดยเน้นว่า ปฏิบัติการดังกล่าวมีการวางแผนและปฏิบัติการโดยชาวฟิลิปปินส์เอง
แต่อย่างไรก็ตาม ผลการสำรวจของตำรวจและสภาผู้แทนราษฎรฟิลิปปินส์ก่อนหน้านี้ต่างได้แสดงให้เห็นว่า มีทหารสหรัฐฯเข้าร่วมปฏิบัติการดังกล่าว ผู้บังคับการกองตำรวจพิเศษฟิลิปปินส์ที่ถูกปลดหลังปฏิบัติการครั้งนี้ได้ยอมรับว่า สหรัฐฯเคยให้ข่าวกรองและแผนที่แก่ตำรวจฟิลิปปินส์ในปฏิบัติการดังกล่าว และมีชาวสหรัฐฯ 6 คนเคยร่วมทำงานกับเขาด้วยกัน และหลังเกิดเหตุการณ์ ชาวสหรัฐฯ เคยช่วยส่งผู้บาดเจ็บออกมา แต่ข้อมูลเหล่านี้ยังไม่ได้รับการยืนยันจากทางการฟิลิปปินส์
ตามข้อตกลงความร่วมมือทางการทหารระหว่างฟิลิปปินส์กับสหรัฐฯ สหรัฐฯไม่เพียงแต่มีสิทธิ์ใช้ฐานทัพของฟิลิปปินส์และจัดวางกำลังทหารในฟิลิปปินส์เท่านั้น หากยังมีสิทธิ์ส่งทหารไปบังคับบัญชาและฝึกทหารฟิลิปปินส์เพื่อใช้ปฏิบัติการปราบปรามกลุ่มก่อการร้ายและองค์การหัวรุนแรงทางศาสนาที่ภาคใต้ฟิลิปปินส์ หลายปีมานี้ การป้องกันประเทศของฟิลิปปินส์ส่วนใหญ่อาศัยการสนับสนุนและกำลังทหารสหรัฐฯมาโดยตลอด ไม่ว่าสหรัฐฯได้เข้าร่วมปฏิบัติการดังกล่าวโดยตรงหรือไม่ เรื่องที่ไม่ต้องสงสัยคือ สหรัฐฯมีส่วนร่วมกับการป้องกันประเทศของฟิลิปปินส์อย่างลึกซึ้ง