เมื่อพูดถึงฤดูใบไม้ผลิ มักถูกโยงเข้ากับความงามแห่งสีสันของดอกไม้โดยอัตโนมติ สำหรับที่ลั่วหยางอย่างที่เอ่ยถึงไปแล้ว คือ ในช่วงนี้เมืองทั้งเมืองจะหอมอบอวลไปด้วยกลิ่นและบรรยากาศแห่งความงามของโบตั๋นหลากสี!
ชาวลั่วหยางมีความรักและผูกพันกับดอกโบตั๋นเป็นพิเศษ และกำหนดให้โบตั๋นเป็นดอกไม้ประจำเมือง ซึ่งโบตั๋นจะบานในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่อากาศอบอุ่นแล้ว และในราวกลางเดือนเมษายนจะมีการจัดงานยิ่งใหญ่ประจำปี "เทศกาลวัฒนธรรมโบตั๋นลั่วหยาง" ระหว่างวันที่ 10 เม.ย. – 10 พ.ค. ของทุกปี ดังนั้น โบตั๋นจึงเป็นตัวแทนแห่งฤดูใบไม้ผลิของลั่วหยาง ไม่ว่าจะมองไปทางไหนเป็นต้องเห็นโบตั๋น..โบตั๋น..และโบตั๋น! ไม่ใช่เฉพาะเพียงดอกไม้สดที่บานแช่มชื่นให้เห็นอยู่ทั่วเมืองเท่านั้น ยังมีโบตั๋นในรูปลักษณ์อื่นที่หลากแบบหลายสไตล์สุดๆ ด้วย
เมื่อมาถึงลั่วหยางแล้ว ไม่ว่าจะขนมของฝากหรือของที่ระลึกล้วนมีโบตั๋นเป็นองค์ประกอบรวมอยู่ด้วย อาทิ ชาดอกโบตั๋น ขนมเปี๊ยะ เครื่องสำอาง ผ้าพันคอ เครื่องเคลือบ หรือของประดับตกแต่งต่างๆ ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเดินซื้อหาหรือเลือกชมได้ที่ "ประตูเมืองโบราณลี่จิ่ง"
ประตูเมืองโบราณลี่จิ่ง(丽景门) ได้รับการยกย่องว่าเป็น "หอประตูเมืองอันดับหนึ่งแห่งจงหยวน และเป็นที่หนึ่งแห่งประตูเมืองโบราณ" เมื่อเดินผ่านประตูเข้าไปจะมีถนนโบราณเส้นยาว ที่สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าขายของของชาวบ้าน ที่นี่จึงได้ชื่อว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเพียงหนึ่งเดียวของลั่วหยาง ที่รวมเอาที่กิน พัก เที่ยว และซื้อหาของฝากมารวมไว้ได้ในที่เดียวกัน จนมีคำกล่าวที่ว่า "ไม่มาประตูเมืองโบราณลี่จิง เท่ากับมาไม่ถึงจริงเมืองลั่วหยาง"
ประตูเมืองโบราณลี่จิง เริ่มก่อสร้างในสมัยราชวงศ์สุย(ค.ศ.581-618) ถือเป็นประตูเมืองทางตะวันตก แน่นอนว่าสภาพที่เห็นอลังการยิ่งใหญ่ในปัจจุบัน เป็นการบูรณะสร้างขึ้นใหม่ในจุดที่ตั้งเดิมในอดีตด้วยงบประมาณกว่า 30 ล้านหยวนเมื่อค.ศ.2002 และสร้างแล้วเสร็จในปี 2004กินอาณาบริเวณกว่า 18,000 ตร.ม. ประกอบด้วยหอประตูเมือง เมืองหน้าด่าน หอธนู กำแพงเมือง คูเมือง โดยหอประตูเมืองแบ่งออกเป็น 4 ชั้น ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยว 8 แห่งสำคัญของเมืองลั่วหยาง เปิดให้ขึ้นชมบนประตูเมืองได้ เวลา 8.00 – 21.00 น.ราคาบัตร 30 หยวน
มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับโบตั๋นว่า ท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บแห่งเหมันตฤดู ณ เมืองหลวงฉางอัน(เมืองซีอันในปัจจุบัน) พระนางอู่เจ๋อเทียน(บูเช็คเทียน)ทรงเสด็จออกไปชมสวนดอกไม้กลางดึก จู่ๆ ก็มีรับสั่งว่าเช้าวันพรุ่ง จะต้องเห็นมวลบุปชาติในสวนบานงามพร้อมกันหมดให้ได้... พร้อมกันหมด...ดอกไม้ต่างชนิดต่างพันธุ์ต่างมีช่วงผลิบานต่างกันด้วย ดอกไวโอเล็ตบานฤดูใบไม้ผลิ ดอกกุหลาบบานในฤดูร้อน ดอกเบญจมาศบานตอนปลายฤดูใบไม้ร่วง ส่วนดอกเหมยบานในฤดูหนาว แถมบางดอกขอบานเฉพาะเช้า บางดอกบานเฉพาะกลางคืน...
ดังนั้น จะให้บานพร้อมกันหมดยากเสียยิ่งกว่ายาก แต่อำนาจของพระนางบันดาลได้ ดอกไม้นานาพันธุ์จึงบานพรึ่บสวยพร้อมกันได้อย่างน่าประหลาด ยกเว้นก็เพียงโบตั๋นยังคงยืนต้นแห้งตรงไม่มีดอกให้เห็น พระนางอู่เจ๋อเทียนทรงพิโรธยิ่ง สั่งเนรเทศโบตั๋นไปอยู่ลั่วหยางทันที ผลปรากฏว่าเมื่อลงดินลั่วหยาง โบตั๋นก็กลับบานงามสดใสเป็นที่สุด พระนางพิโรธหนักขึ้นไปอีก สั่งให้จุดไฟเผาซะเลย โบตั๋นเมื่อถูกความร้อนสุมกลับยังต้นตั้งตรงและบานสดยิ่งขึ้นอีก...
เหมาเจ๋อตุง ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ชื่นชอบดอกโบตั๋นมาก ว่ากันว่ามีอยู่วันหนึ่งในฤดูหนาวเช่นเดียวกันแต่เป็นปี 1950 ประธานเหมาออกมาเดินเล่นที่สวนดอกไม้ในทำเนียบจงหนานไห่ พอมาถึงที่ปลูกดอกโบตั๋นก็หยุดเท้า และเล่าเรื่องพระนางอู่เจ๋อเทียนกับโบตั๋นให้คนรอบข้างฟังพร้อมจบท้ายว่า "คนหนุ่มสาวต้องมีลักษณะอย่างโบตั๋น ไม่หวั่นเกรงที่จะเผชิญกับความรุนแรงถึงจะแบกรับภาระหนักอึ้งได้"
เมืองลั่วหยางเป็นถิ่นกำเนิดเพาะพันธุ์โบตั๋น มีความเลืองชื่อมาแต่โบราณว่า ดอกใหญ่ที่สุด หลากสีที่สุด และหอมที่สุด โดยสีเหลืองและเขียวถือเป็นสีที่พิเศษเลอค่าสุด ด้วยความงดงามแห่งสีสัน รูปลักษณ์ที่ดูสง่างาม มีดอกหนาและใหญ่ โบตั๋นจึงได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งดอกไม้ และเป็นสัญลักษณ์แห่งความบริบูรณ์สูงศักดิ์มีเกียรติมีฐานะ จึงเป็นที่ชื่นชอบของชาวจีนโดยทั่วไป ซึ่งดอกโบตั๋นปลอมที่สวยสดเหมือนจริงมากก็เป็นที่นิยมชมชอบของนักท่องเที่ยวเช่นกัน ต่างแวะซื้อติดไม้ติดมือกลับไปประดับตกแต่งบ้าน เพื่อเป็นที่ระลึกถึงการมาเยือนแดนดินถิ่นโบตั๋นงามแห่งนี้
แวะพักทักลั่วหยาง โดย วังฟ้า 羅勇府