ตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมจนถึงปลายเดือนกันยายนทุกปี เป็นช่วงปิดเทอมหน้าร้อนของโรงเรียนประเทศจีน อันเป็นช่วงหยุดยาวที่สุดในรอบหนึ่งปีของเด็กนักเรียน ทุกวันนี้ การเรียนคอร์สพิเศษจากโรงเรียนติวต่าง ๆ เพื่อเพิ่มเติมวิชาความรู้ หรือพัฒนาความสามารถด้านศิลปในทุกแขนง กลายเป็นชีวิตช่วงปิดเทอมที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ทั้งจากเด็กนักเรียนและผู้ปกครอง
เสี่ยวจี้ เป็นนักเรียนชายชั้นมัธยมในนครเซี่ยงไฮ้ มีตารางกิจกรรมในช่วงปิดเทอมหน้าร้อน ค่อนข้างแน่นพอสมควร ซึ่งครอบคลุมถึงคอร์สแปลภาษาอังกฤษ คอร์สเห็นคุณค่าของบทกวี (Poem Appreciation) คอร์สเปียโน คอร์สบาสเกตบอล เป็นต้น ซึ่งแต่ละคอร์สจะเรียนเป็นเวลา 2 สัปดาห์ สิ่งที่น่าแปลกใจคือ หนุ่มขยันเรียนผู้นี้ ยังสมัครเรียนอีก 2 คอร์ส เป็นคอร์สคณิตศาสตร์จาก 2 โรงเรียนติวที่มีชื่อเสียง แต่มีวัตถุประสงค์การสอนไม่เหมือนกัน
ฟังตารางช่วงปิดเทอมของเสี่ยวจี้แล้วรู้สึกหนักใจแทน แต่เจ้าตัวกลับบอกด้วยความตื่นเต้นว่า เขาชอบเรียนคณิตศาสตร์เป็นพิเศษ เมื่อเปรียบเทียบกับการนั่งทำแบบฝึกหัดที่บ้าน การไปเรียนคอร์สพิเศษสนุกกว่า เพราะว่าจะได้แข่งขันกันกับเพื่อนนักเรียนที่เก่งพอๆ กัน ยังมีโอกาสตั้งข้อสอบให้เพื่อนร่วมคอร์สมาตอบ 2 โรงเรียนติวที่สอนคณิตศาสตร์ที่เสี่ยวจี้เรียน ดึงดูดนักเรียนเก่งคณิตศาสตร์ในเซี่ยงไฮ้มาเรียน ในกระบวนการเรียนจะมีการจัดสอบ และจะแบ่งชั้นใหม่ตามคะแนนสอบให้เด็กๆ ที่มีความสามารถเท่าเทียมกันเรียนอยู่ด้วยกัน จะได้ยกระดับการเรียนการสอนอย่างมีความเฉพาะเจาะจง
เมื่อปลายเทอม เสี่ยวจี้เพิ่งได้สอบเลื่อนชั้นจาก "ชั้นต้น" มาถึง "ชั้นกลาง" เขามุ่งมั่นจะสู้ต่อเพื่อสอบเข้า "ชั้นสูง" ที่ตนเองใฝ่ฝัน ก่อนสิ้นสุดช่วงปิดเทอมหน้าร้อน เสี่ยวจี้มั่นใจว่า การที่ตนเองเรียนวิชาคณิตศาสตร์ในโรงเรียนดีและสอบได้คะแนนสูง ก็เพราะติดตามเรียนคอร์ส จาก 2 โรงเรียนติวชื่อดัง นี่ทำให้เขาเองมีความกระตือรือร้นต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เสมอ พร้อมเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับตัวตน
สำหรับเด็กนักเรียนทั่วไปที่อาจจะไม่ได้สนใจเรียนเพิ่มอย่างเสี่ยวจี้ พ่อแม่ผู้ปกครองก็นิยมจัดทำแผนเรียนเพิ่ม แม้ลูกยังอยู่โรงเรียนประถม ซึ่งสมควรปล่อยให้เที่ยวเล่นอย่างสนุกสนาน คุณเฉินเป็นพนักงานหญิงในบริษัททุนต่างชาติในเซี่ยงไฮ้ ปกติงานเธอค่อนข้างยุ่ง ไม่ค่อยมีเวลาดูแลลูกสาวเด็ก ป. 5 เรียนหนังสือ อีกปีเดียวเองก็จะเข้าโรงเรียนมัธยมต้นแล้ว เธอจึงตัดสินใจใช้ช่วงปิดเทอมนี้ เรียนเพิ่มในโรงเรียนติวเตรียมสอบมัธยมที่เพื่อนร่วมงานแนะนำ ต้องการให้ครูสรุปรวบรวมวิชาความรู้ช่วงประถมศึกษาอย่างเป็นระบบให้ลูกสาว หวังว่าลูกสาวจะได้คะแนนดี เพื่อเรียกความสนใจจากครูทั้งหลาย
นอกจากเรียนคอร์สเสริมเช่น ภาษาจีน คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษในโรงเรียนทั่วไปแล้ว ก็มีผู้ปกครองไม่น้อยที่ตัดสินใจส่งลูกไปพัฒนาทักษะความสามารถนอกเหนือจากการเรียนหนังสือ สำหรับฮั่นฮั่น เด็กหญิงชั้นป.3 ที่ชอบเล่นหมากล้อม คุณพ่อตั้งใจใช้เวลาช่วงปิดเทอมพัฒนาฝีมือหมากล้อม โดยจะส่งลูกไปเรียนที่ห้องเรียนหมากล้อมที่จัดสอนโดยมืออาชีพ
เขาบอกว่า ปกติในช่วงเปิดเทอม สัปดาห์หนึ่งลูกเรียนคอร์สหมากล้อมเพียง 1 – 2 ครั้งเท่านั้น และไม่มีเวลาเพียงพอที่จะซ้อมเล่นกับเพื่อนๆ มาถึงช่วงปิดเทอมก็ต้องจัดเวลานานพอสมควรให้ลูกสาวเข้าห้องเรียนหมากล้อม ฟังครูบรรยายแผนการเล่นที่มีกลยุทธ์สูง และหาเพื่อนเล่นมาฝึกซ้อมจริง ได้มีโอกาสพบเพื่อนเล่นหลากหลายสไตล์ ทำให้ทักษะหมากล้อมของลูกสาวเก่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในช่วงปิดเทอมหน้าร้อนปีที่แล้ว ศูนย์วิจัยการศึกษา PSYLIFE ได้จัดการสำรวจเกี่ยวกับชีวิตในช่วงปิดเทอมของนักเรียนจากกว่า 200 โรงเรียนและ 6,300 ครอบครัวในนครเซี่ยงไฮ้ ปรากฏว่า นักเรียนที่ร่วมสำรวจครั้งนี้มี 62% เข้าเรียนคอร์สอบรมในช่วงปิดเทอม เฉลี่ยแล้วเรียนสัปดาห์ละ 7 ชั่วโมง และมีกว่า 40% ของนักเรียนที่เรียนเพิ่มในช่วงปิดเทอม ร่วมคอร์สอบรมภาษาอังกฤษ คอร์สเรียนวิทยาศาสตร์กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ครอบครัวที่ส่งเด็กไปเรียนพิเศษมีกว่า 1 ใน 3 ให้เด็กเรียน 2 – 3 คอร์ส ขณะเดียวกัน ก็มีอีก 20% ส่งเด็กไปร่วมกิจกรรมค่ายทัศนศึกษาในต่างประเทศ
สรุปได้ว่า วิธีการใช้ชีวิตช่วงปิดเทอมหน้าร้อนของนักเรียนเซี่ยงไฮ้มี 5 วิธี ได้แก่ 1.ปล่อยให้ผักผ่อนตามสบาย หมายถึงครอบครัวที่ไม่ส่งเด็กไปร่วมคอร์ส หรือทัศนะศึกษาในต่างประเทศ แต่จะพาไปท่องเที่ยวในต่างมณฑลหรือต่างประเทศ ซึ่งมีสัดส่วนเป็น 26.2% 2.ขยันเรียนเต็มความพยายาม โดยให้เด็กเข้าคอร์สอบรมต่างๆ นานาเฉลี่ยอาทิตย์ 6.5 ชั่วโมง คิดเป็น 43.9% 3.เดินทางไปทัศนศึกษา เด็กเหล่านี้จะเข้าร่วมการเดินทางไปต่างประเทศเฉลี่ย 12 วัน คิดเป็น 12% 4.เรียนบ้างเที่ยวบ้างไม่รู้เหนื่อย ให้เด็กร่วมคอร์สเรียนไม่เกิน 1 เดือน เวลาที่เหลือพาไปท่องเที่ยว 5.กดดันให้ขยันเรียนไม่สนเที่ยว โดยพ่อแม่ใจแข็งมักจะบังคับให้ลูกเรียนคอร์สนานกว่า 18 ชั่วโมงทุกสัปดาห์ แต่กลุ่มนี้มีสัดส่วนน้อยเพียง 0.3% เท่านั้น
สิ่งที่น่าสนใจคือ ที่นครเซี่ยงไฮ้ พ่อแม่ผู้ปกครองวัย 30 – 45 ส่วนใหญ่ยึดถือแนวทางการให้ลูกเลือกเรียนคอร์สอบรมลักษณะ "พัฒนาความสามารถในหลายด้าน" "เน้นคุณภาพการศึกษา" และมีความสนใจลดน้อยลงกับ "คอร์สที่พุ่งเป้าช่วยนักเรียนเพิ่มคะแนนสอบ" ดังนั้น ชีวิตช่วงปิดเทอมหน้าร้อนอันหลากหลายสีสัน ซึ่งประกอบด้วย คอร์สเรียนพิเศษ + การท่องเที่ยว + การทัศนะศึกษาโรงเรียนต่างแดน + ค่ายพักร้อน + การซ้อมกีฬา + การฝึกงาน ค่อยๆ ได้รับความนิยมชมชอบมากขึ้น
ยกตารางกำหนดการของเสี่ยวสีว์ นักเรียน ป.6 จากโรงเรียนสองภาษาแห่งหนึ่งในเซี่ยงไฮ้เป็นตัวอย่าง ในสัปดาห์แรกของช่วงวันหยุดปิดเทอม คุณแม่จะพาเธอบินไปเมืองซีอานเพื่อเข้าร่วมโครงการสำรวจเมืองโบราณของเด็กนักเรียน กลับมาก็รีบเข้าคอร์สเรียนเพิ่มเติมทั้งวิชาคณิตศาสตร์กับอังกฤษ ถัดมามีการยกทั้งครอบครัวไปท่องเที่ยวในต่างประเทศครั้งหนึ่ง รอถึงช่วงปลายเดือนสิงหาคม ก็จะให้เธอเข้าค่ายพักร้อนทางวัฒนธรรมเป็นเวลา 6 วัน
คุณแม่ของเสี่ยวสีว์อธิบายว่า ลูกสาวสนใจความรู้ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมตั้งแต่เด็ก จึงพาไปลงสมัครร่วมกิจกรรมเรียนรู้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมทั้ง 2 อย่าง ให้ลูกสาวมีโอกาสสัมผัสกับทะเลทรายกว้างใหญ่ไพศาล ด่านทหารโบราณในหุบเขาสูงชัน และภูเขาแม่น้ำน่าภาคภูมิใจของมาตุภูมิ ที่บันทึกไว้บทกวีเลื่องลือของคนโบราณ และลงพื้นที่เพื่อเปรียบเทียบวัฒนธรรมที่แตกต่างกันระหว่างเขตพื้นที่ทางผ่านของเส้นทางสายไหมโบราณในภาคตะวันตกเฉียงเหนือกับเขตพื้นที่ภาคกลางของจีน