จีน---ประเทศที่มีประวัติศาสตร์ 5 พันปี(19)
  2018-09-19 08:37:47  cri

ในยุค 5 ราชวงศ์ 10 รัฐ หลังจาก สือ จิ้งถัง จักรพรรดิราชวงศ์โฮ่วจิ้นสิ้นพระชนม์ สือ ฉงกุ้ย โอรสขึ้นครองราชย์แทน แต่ไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจ และแสดงความเคารพยำเกรงต่อหัวหน้าชนเผ่าชี่ตันเช่นเดียวกับพระบิดาอีกต่อไป หัวหน้าชนเผ่าชี่ตันจึงได้ยกทัพบุกลงมาทางใต้ หลังพิชิตเมืองหลวงไคเฟิง และโค่นล้มอำนาจราชวงศ์โฮ่วจิ้นแล้ว ทหารชนเผ่าชี่ตันออกปล้นสะดมประชาชนตามเมืองต่างๆ ที่อยู่ในภาคกลางของจีน จนประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวหมดความอดทน ต้องจับอาวุธลุกขึ้นมาต่อต้าน ทำให้ทหารชี่ตันต้องถอนออกจากเมืองไคเฟิงในที่สุด จังหวะนี้ หลิว จือหย่วน ผู้บัญชาการทหารที่มณฑลซานซีที่ยกทัพเข้ามา ต่อต้านกองทัพชนเผ่าชี่ตัน เข้ามาอุดช่องว่างทางทหารในเมืองไคเฟิง เมืองหลวงของราชวงศ์โฮ่วจิ้นพอดี เพราะว่า ทหารของราชวงศ์โฮ่วจิ้นเดิมพ่ายแพ้ชนเผ่าชี่ตันไปแล้ว ในส่วนกองทัพชี่ตัน ก็มีความจำเป็นที่จะต้องถอนตัวออก หลิว จือหย่วนจึงได้เอาประโยชน์จากสถานการณ์นี้ และตั้งตนเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์โฮ่วฮั่น

ภายหลังหลิว จือหย่วนสิ้นพระชนม์ โอรสหลิว เฉิงยิ่ว ได้ขึ้นครองราชย์ ช่วงเวลานั้น กองทัพส่วนพระองค์มีความเข้มแข็งมาก จนบดบังเดชานุภาพของจักรพรรดิ ทหารในกองทัพส่วนพระองค์มีความจงรักภักดีต่อแม่ทัพของตนยิ่งกว่าองค์จักรพรรดิ จึงมีการยื่นคำขาดให้จักรพรรดิสละราชสมบัติ แล้วยก กัว เวย แม่ทัพของตนขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์โฮ่วโจว

ราชวงศ์โฮ่วโจว ซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายในยุคห้าราชวงศ์ มีจักรพรรดิเพียงสององค์ครองราชย์ แต่ก็มีผลงานที่ถือได้ว่า เป็นพื้นฐานให้ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ซ่งสามารถรวมอาณาจักรจีนเข้าเป็นเอกภาพ ทั้งกัวเวย ปฐมจักรพรรดิราชวงศ์โฮ่วโจว และไฉหรง โอรสบุญธรรมของกัวเวย เป็นจักรพรรดิที่ทรงมีความปรีชาสามารถสูง

ทั้งๆ ที่กัวเวยขึ้นมาจากความเป็นแม่ทัพ แต่มองเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจ จึงพยายามสนับสนุนการผลิต โดยลดภาษีและค่าเช่าเรือกสวนไร่นาให้แก่เกษตรกร และปราบปรามขุนนางทุจริตอย่างเข้มงวดกวดขัน ทำให้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวขึ้น เกษตรกรมีฐานะดีขึ้น สังคมมีเสถียรภาพ ทั้งนี้ยังผลให้ประชาชนจากดินแดนส่วนอื่นๆเป็นจำนวนมาก พากันอพยพเข้ามาทำมาหากินกันในอาณาจักรของราชวงศ์โฮ่วโจว

เมื่อกัวเวย สิ้นพระชนม์ ชนเผ่าชี่ตันยกทัพมาโจมตีอาณาจักรของราชวงศ์โฮ่วโจว ไฉหรง โอรสบุญธรรมของกัวเวยได้เข้าบัญชาการทหารในการสู้รบกับทหารชนเผ่าชี่ตันด้วยพระองค์เอง ผลปรากฏว่า กองทัพราชวงศ์โฮ่วโจวสามารถทำลายกองทัพของชนเผ่าชี่ตันให้พินาศย่อยยับ อีกทั้งยังได้ชิงดินแดนที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์หลายแห่งที่ก่อนหน้านี้ถูกชนเผ่าชี่ตันยึดไปกลับคืนมาได้ หลังจากนั้น จักรพรรดิไฉหรงพยายามปรับปรุงกองทัพให้เข้มแข็ง และได้วางแผนที่จะรวมอาณาจักรเข้าเป็นเอกภาพ

 

แต่น่าเสียดายที่ไฉหรงสิ้นพระชนม์ขณะมีพระชนมายุเพียง 38 พรรษาเท่านั้น โอรสของไฉหรง ซึ่งมีพระชนมายุเพียง 7 พรรษาเท่านั้นได้ขึ้นครองราชย์ การที่จักรพรรดิยังเยาว์วัย แล้วมีพระราชชนนีเป็นผู้สำเร็จราชการนั้น เป็นเรื่องที่กองทัพส่วนพระองค์ยากที่จะรับได้ ค.ศ.960 กองทัพชนเผ่าชี่ตันบุกลงมาทางใต้อีก เพื่อพิชิตเมืองไคเฟิง จ้าวควางอิ้น ผู้บัญชาการกองทัพส่วนพระองค์ได้รับคำสั่งให้นำกำลังออกไปต่อต้านกองทัพชนเผ่าชี่ตัน

กองทัพส่วนพระองค์ภายใต้การบังคับบัญชาของจ้าว ควางอิ้น ก็ได้เดินทางออกจากเมืองหลวง เมื่อกองทัพเดินทางมาถึงด่านเฉิงเฉียวอี้ ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองไคเฟิง ก็ได้ตั้งค่ายพักแรม คืนนั้น บรรดาแม่ทัพนายกองพร้อมใจกันนำเอาฉลองพระองค์ลายมังกรสีเหลืองวางทาบบนตัวจ้าวควางอิ้นที่กำลังนอนหลับอยู่ แล้วก้มลงทำความเคารพจ้าวควางอิ้น อย่างที่ขุนนางกระทำกับองค์จักรพรรดิ จ้าวควางอิ้น ผู้บัญชาการกองทัพส่วนพระองค์จึงได้กลายเป็นปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ซ่ง

วันรุ่งขึ้นนั้นเอง ระหว่างเคลื่อนทัพกลับไปยังเมืองหลวงไคเฟิง จ้าว ควางอิ้นได้ออกคำสั่งอย่างเฉียบขาดว่า ไม่ให้ทหารในกองทัพของตนทำร้ายสมาชิกราชตระกูลโฮ่วโจว และบรรดาขุนนาง ตลอดจนพลเมืองทั้งหลาย อีกทั้งยังห้ามไม่ให้ทหารปล้นสะดมท้องพระคลังของราชสำนักด้วย

สำหรับ จ้าวควางอิ้นเอง ได้ตั้งตนเป็นจักรพรรดิไท่จู่ แห่งราชวงศ์ซ่ง คำว่า ซ่ง เป็นชื่อเขตทหารที่จ้าวควางอิ้นเคยได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการทหารจากจักรพรรดิราชวงศ์โฮ่วโจว อันเป็นบันไดก้าวสำคัญที่ส่งให้จ้าวควางอิ้นได้ขึ้นมาเป็นจักรพรรดิ

ในปีแรกที่ขึ้นครองราชย์ จักรพรรดิไท่จู่ได้เสด็จไปเคารพบูชาศาลเจ้าขงจื๊อที่ภูเขาไท่ซัน ขณะเดียวกัน ยังแสดงอย่างชัดเจนว่า นับถือในพุทธศาสนา หลังจากนั้น เมื่อถึงวันประสูติของพระองค์ จักรพรรดิไท่จู่จะเป็นประธานทำพิธีอุปสมบทให้พระภิกษุหลายพันรูป แล้วยังนิมนต์พระภิกษุจำนวนมากมาฉันในวังหลวงเป็นประจำทุกปี ต่อมา ยังทรงตั้งสำนักแปลพระสูตรของศาสนาพุทธขึ้น

ภารกิจที่พระองค์ถือว่าสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ กำจัดอิทธิพลขุนศึกให้หมดสิ้น เพราะอิทธิพลของขุนศึกนี่เองที่ทำให้นายทหารระดับสูงพยายามก้าวขึ้นครองราชย์บัลลังก์กันตลอดเวลาที่ผ่านมาถึงสองศตวรรษ โดยเฉพาะในยุคห้าราชวงศ์ ซึ่งกินเวลาเพียง 50 กว่าปี ก็ได้มีขุนศึกต่างๆ ตั้งตนเป็นจักรพรรดิ ยังผลให้ยุคนี้มีจักรพรรดิทั้งสิ้น 13 องค์ คิดเฉลี่ยแล้ว องค์หนึ่งครองราชย์เพียงสี่ปีเศษเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ จักรพรรดิไท่จู่ได้รับสั่งต่อขุนพลทั้งหลายในงานเลี้ยงครั้งหนึ่งว่า ความจงรักภักดีที่พวกท่านมีต่อข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าไม่เคยแคลงใจเลย แต่ถ้ามีใครสักคนในหมู่พวกท่านตื่นขึ้นมาในตอนเช้าวันหนึ่ง แล้วถูกบังคับให้สวมฉลองพระองค์ลายมังกรสีเหลือง ถึงจะไม่เต็มใจก็ต้องยอมให้ตนเองถูกผูกมัดด้วยการโค่นราชวงศ์ซ่งลงไปมิใช่หรือ คราวนี้ ถ้าเผื่อท่านจะลาออกจากราชการไปเสีย โดยอพยพไปอยู่ตามท้องที่ต่างๆ เลือกเอาที่ดินที่ดีเป็นถิ่นที่อยู่ แล้วใช้ชีวิตด้วยความสุขสบาย ชีวิตอย่างนี้จะไม่ดีกว่าชีวิตที่ต้องเผชิญแต่เหตุอันตรายและก็มีแต่ความไม่แน่นอนหรือ

วันรุ่งขึ้นนั้นเอง บรรดาขุนพลคนสำคัญก็พร้อมใจกันลาออกจากราชการ จักรพรรดิไท่จู่พระราชทานของขวัญล้ำค่าจำนวนมาก รวมทั้งยศถาบรรดาศักดิ์ให้แก่บรรดาขุนพลเหล่านี้ เหตุการณ์ครั้งนี้มีชื่อเรียกในประวัติศาสตร์ว่า "ถอดอำนาจทหารในงานเลี้ยง"

หลังจากนั้น เมื่อผู้บัญชาการทหารท้องถิ่นคนใดเกษียณ ไท่จู่ก็ทรงแต่งตั้งขุนนางพลเรือนจากส่วนกลางไปดำรงตำแหน่งแทน ขุนนางระดับอำเภอขึ้นไปต้องได้รับการแต่งตั้งจากพระองค์เอง กองทหารที่ประจำการตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วราชอาณาจักร ถ้ากำลังทหารหน่วยใดเป็นหน่วยที่ดีเยี่ยม มีประสิทธิภาพในการสู้รบ ก็จะถูกโยกย้ายมาสังกัดอยู่ในกองทัพประจำเมืองหลวง ซึ่งจักรพรรดิไท่จู่ทรงบังคับบัญชาด้วยพระองค์เอง จักรพรรดิไท่จู่ทรงรวบอำนาจทั้งทางทหารและการปกครองมาไว้ในส่วนกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในองค์จักรพรรดิเอง

การสร้างระบบการปกครองที่รวมอำนาจไว้ในส่วนกลางอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีจักรพรรดิเป็นผู้ใช้อำนาจสิทธิ์ขาดนี้ จำเป็นต้องมีระบบราชการที่มีประสิทธิภาพด้วย แหล่งที่สำคัญที่สุดในการผลิตขุนนางชั้นผู้ใหญ่ให้แก่ระบบราชการก็ได้แก่ การสอบคัดเลือกบุคลากรชั้นดีเข้ารับราชการ การสอบคัดเลือกมีหลายระดับ ขั้นแรกสอบในเขตปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งทางเขตหรือสถานศึกษาในพื้นที่เป็นผู้จัด ผู้ที่สอบผ่านจะมีสิทธิ์เข้าไปสอบขั้นที่สองในเมืองหลวง โดยมีส่วนกลางเป็นผู้จัดสอบ ถัดจากนั้น ผู้ที่สอบผ่าน ซึ่งเหลือจำนวนน้อยมากจึงจะได้เข้าไปสอบในวังหลวงต่อไป เรียกว่า สอบไล่ในวัง ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดในการสอบระดับนี้ จะได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งขุนนางชั้นสูง

ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง
ตอบคำถามออนไลน์
ทบทวนรายการน่าสนใจ
ภาพยอดฮิต
เว็บไซต์ึเพื่อนซีอาร์ไอ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Play Stop
© China Radio International.CRI. All Rights Reserved.
16A Shijingshan Road, Beijing, China. 100040