วันที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจของกรุงปักกิ่งประกาศว่าจะดำเนินการกวาดล้างชาวต่างชาติ "สามผิด" ซึ่งในภาษาจีนใช้คำว่า "ซานเฟย" ซึ่งเป็นความผิด 3 ประการ ได้แก่ ลักลอบเข้าประเทศ พำนัก และทำงานอย่างผิดกฎหมายของประเทศจีนอย่างจริงจัง เพื่อจัดระเบียบสังคมให้เข้าที่เข้าทาง
สาเหตุก็เพราะว่าเมื่อวันคืนที่ 8 พฤษภาคมที่ผ่านมา เวลาราว 11 นาฬิกา มีนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษรายหนึ่งพยายามคุกคามทางเพศหญิงสาวชาวจีนที่บริเวณถนนฉวนอู่เหมินต้าเจีย เขตซีเฉิง แต่ยังโชคดีที่มีชายฉกรรจ์หลายคนผ่านทางมาเห็นเหตุการณ์ และได้เข้าทำการช่วยเหลือ พร้อมจับส่งสถานีตำรวจ ซึ่งภายหลังการสอบสวนพบว่าหนุ่มคลั่งคนนี้ถือวีซ่าหมดอายุ จึงได้แจ้งข้อหาหนักสองกระทง
หลังจากเหตุการณ์นี้ มีคนนำเอาวิดีโอที่ถ่ายจากโทรศัพท์มือถือขณะที่หนุ่มอังกฤษคลั่งสวาทนายนี้กำลังกระทำชำเราหญิงสาวไปโพสต์ลงในเวยโป๋ ซึ่งเป็นสื่อสังคมออนไลน์ยอดนิยมของจีน จึงทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ลุกลามไปไวกว่าไฟไหม้ฟาง และเป็นสาเหตุสำคัญหนึ่งที่ทำให้ฝ่ายตำรวจของกรุงปักกิ่งต้องออกมาประกาศมาตรการเฉียบขาด "กวาดล้าง 100 วัน" โดยเริ่มตั้งแต่วันอังคารที่ 15 พฤษภาคมเป็นต้นไป ซึ่งเจาะจงต่อชาวต่างชาติที่ก่ออาชญากรรม พำนักอยู่ในจีนเกินกำหนดวีซ่า และทำงานโดยไม่ได้รับใบอนุญาต
ตำรวจนายหนึ่งชื่อ หลิน ซง ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้รับผิดชอบโครงการนี้ระบุว่าจะทำการตรวจสอบอย่างเข้มงวดในพื้นที่ที่มีชาวต่างชาติจำนวนมาก โดยเฉพาะย่าน "ซานหลี่ถุน" ในเขตเฉาหยาง ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวยามราตรีชื่อดังของกรุงปักกิ่ง และ "อู่เต้าโข่ว" เขตไห่เตี้ยน ซึ่งเป็นศูนย์รวมมหาวิทยาลัยที่มีชาวต่างชาติพักอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยจะทำการประชาสัมพันธ์ไปยังมหาวิทยาลัย หอพัก โรงแรม ร้านอาหารให้ทำการติดประกาศของทางการ และยังมีการแจ้งให้ครูอาจารย์บอกกับนักเรียนนักศึกษาต่างชาติเพิ่มอีกแรงหนึ่งด้วย
สำหรับขั้นตอนการ "กวาดล้าง" ที่ว่านี้ จะมีการเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่เป็นการเฉพาะในระหว่างโครงการ แจ้งให้ชาวต่างชาติทุกคนต้องพกพาสปอร์ตและใบลงทะเบียนที่อยู่อาศัย เพราะตำรวจจะทำการตรวจสอบอย่างละเอียดในจุดที่ได้แจ้งไว้ข้างต้น ซึ่งก่อนหน้าวันประกาศเริ่มโครงการ เจ้าหน้าที่ได้แจ้งไปยังเขตหวั่งจิง ซึ่งมีชาวเกาหลีอาศัยอยู่ราว 40,000 คนให้รับทราบแล้ว รวมถึงย่านอู่เต้าโข่วที่มีนักศึกษาต่างชาติจำนวนมาก อีกทั้งขอความร่วมมือไปยังสถานทูตประเทศต่างๆ เพื่อรับทราบข้อมูล ประสานกับหน่วยงานศุลกากรเพื่อให้เพิ่มการตรวจสอบ และให้โรงแรมทำการบันทึกการเข้าพักอย่างเข้มงวด
ปกติแล้วการเดินทางเข้ามาในประเทศจีนจะต้องมีการแจ้งที่พักในใบลงทะเบียนตั้งแต่ที่สนามบินขาเข้า จากนั้นเมื่อถึงโรงแรมที่พักหรือบ้านพักก็ตามจะต้องมีการนำเอาพาสปอร์ตตัวจริงไปลงทะเบียนที่สถานีตำรวจท้องที่ ถ้าเป็นโรงแรมพนักงานจะเป็นผู้จัดการเรื่องนี้ทั้งหมด แต่ถ้าเป็นบ้านพัก เจ้าของบ้านผู้ให้เช่าหรือพักอาศัยชั่วคราวและตัวผู้เข้าพำนักจะต้องไปยื่นเรื่องลงทะเบียนที่สถานีตำรวจทันทีหลังจากเดินทางเข้าสู่ประเทศ ซึ่งเรื่องนี้ประเทศจีนทำเป็นปกติมาโดยตลอด เพราะจะทำให้สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของชาวต่างชาติขณะพำนักอยู่ในจีนได้ อีกทั้งรู้แน่ชัดถึงประเภทวีซ่า และระยะเวลาการพำนัก
แต่ก็เชื่อได้ว่าคงไม่มีคนปฏิบัติตามเรื่องนี้เข้มงวดสักเท่าไร โดยเฉพาะคนที่ปล่อยบ้านเช่าผ่านบริษัทตัวแทนหรือเอเจนซี ส่วนใหญ่จะไม่ยากเข้ามายุ่งยาก เพราะไม่ต้องการเสียภาษีรายได้ ดังนั้นจึงไม่มีการแจ้งย้ายเข้าอย่างถูกต้อง หรืออีกกรณีก็คือคนที่เดินทางเข้ามาพักอาศัยกับเพื่อนที่มีการพักอยู่ร่วมกัน ก็ตรวจสอบได้ยากว่าอาศัยกันอยู่กี่คน
ซึ่งความหละหลวมต่างๆ เหล่านี้นี่เองเป็นจุดที่ทางตำรวจปักกิ่งจะเข้มงวดมากขึ้น และเข้าตรวจสอบอย่างจริงจัง อีกทั้งยังจะมีการเปิดโทรศัพท์สายด่วนเพื่อให้ประชาชนแจ้งเบาะแสกับเจ้าหน้าที่อีกทางหนึ่งด้วยด้วย
ตำรวจปักกิ่งยืนยันตัวเลขจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองว่ามีชาวต่างชาติที่ลงทะเบียนการพักอาศัยมีจำนวน 120,000 คน แต่จริงแล้วหากรวมพวกที่กระทำผิดกฎหมายทั้งสาม หรือ "ซานเฟย" นี้แล้ว น่าจะมียอดราว 200,000 คน
ส่วนกลุ่มคนที่ต้องสงสัยว่าน่าจะมีการพำนักในประเทศจีนอย่างผิดกฎหมายก็ได้แก่ นักศึกษาต่างชาติที่จบใหม่และกำลังมองหางานทำ กลุ่มคนที่ถือวีซ่านักศึกษาระยะสั้น ซึ่งโดยมากจะสมัครเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนภาษาจีน คนเหล่านี้ส่วนหนึ่งใช้วีซ่านี้บังหน้าเพื่อให้สามารถเข้ามาหางานทำได้นานกว่าปกติ และบางส่วนก็ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย เพราะบริษัทผู้ว่าจ้างมักหลีกเลี่ยงภาษี ประกันสังคม และความรับผิดชอบอื่นๆ จึงไม่จ้างชาวต่างชาติอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หรือพาไปทำใบอนุญาตประกอบอาชีพในประเทศจีน
ครั้งหนึ่งนิตยสารไทม์ เอ้าท์ ฉบับกรุงปักกิ่ง (Time Out Beijing) มีการทำแบบสำรวจอาชีพที่แปลกที่สุดในจีน และมีหนุ่มชาวยุโรปคนหนึ่งซึ่งมีตำแหน่งในนามบัตรว่า "ครีเอทีฟ ไดเร็กเตอร์" ติดโพลมาด้วย แม้ตำแหน่งจะไม่แปลกและดูยิ่งใหญ่ก็ตาม แต่หนุ่มคนนี้ไม่เหมือนใคร เพราะว่าเขาไม่ได้มีความสามารถด้านนี้ และวันๆ ก็ไม่ได้ทำงานอะไรนอกจากนั่งเล่นเกมส์ เพราะงานหลักของเขาก็คือ "การสร้างความน่าเชื่อถือให้บริษัท" ใส่สูทภูมิฐานออกไปพบลูกค้าซึ่งส่วนมากสื่อสารภาษาอังกฤษไม่ได้ ร่วมงานเลี้ยงและกินเหล้าขาว เสร็จแล้วก็ถอดชุดสวมกางเกงยีนขี่จักรยานกลับบ้านพัก เขาระบุว่าไม่ได้ภูมิใจกับงานที่ไม่ได้ใช้ความสามารถนี้เลย แต่ก็ใช่ว่างานสบายแต่รายได้งามแบบนี้จะหาได้ง่าย หากต้องการจะอยู่ในปักกิ่งต่อไป ก็ต้องทำงานนี้ และบริษัทจำนวนมากก็ต้องการชาวตะวันตกสักคนมาสร้างความสากลให้กับตัวเอง เพื่อเอาไว้หลอกลูกค้าต่างจังหวัด เขาจึงรับงานนี้มาหลายแล้ว
ส่วนอาชีพปกติของชาวต่างชาติที่โดยมากทำงานโดยไม่มีวีซ่าอนุญาตทำงานอย่างถูกกฎหมาย ได้แก่ ครูสอนภาษา นักแสดง นักดนตรี ซึ่งนี้เป็นสถิติข้อมูลจากสำนักงานคุ้มครองความปลอดภัยสาธารณะ และยังระบุอีกว่าผู้ลักลอบเข้าเมืองส่วนใหญ่มาจากประเทศเพื่อนบ้าน
นอกจากนี้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองยังระบุอีกว่า ตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมามีรายงานการหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย วีซ่าหมดอายุ และทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตจำนวนทั้งหมด 13,000 ราย จากจำนวนชาวต่างชาติกว่า 100 ประเทศทั่วโลก
แต่ในรายงานเดียวกันระบุว่า ร้อยละ 80 ของชาวต่างชาติที่พำนักโดยผิดกฎหมายไม่ได้จงใจกระทำผิด แต่เป็นเพราะไม่รู้กฎหมายของจีนอย่างถ่องแท้ ซึ่งทางโฆษกสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองกล่าวว่า "เรื่องนี้จะต้องมีการพิจารณาอย่างละเอียดอ่อน มีการติดประกาศอย่างชัดเจนที่สนามบิน มีการจำทำแผ่นพับประชาสัมพันธ์ให้ทั่วถึงมากขึ้น"
ส่วนกรณีชาวต่างชาติก่ออาชญากรรมในจีน ส่วนใหญ่เป็นเพราะว่ามาพำนักอยู่นานจนวีซ่าหมด และไม่มีเงินซื้อตั๋วเดินทางกลับประเทศ จึงตัดช่องน้อยก่อคดีขึ้นมา
ขณะเดียวกัน ในหมู่ชาวต่างชาติที่พำนักในจีนมาหลายปี ต่างก็ทราบถึงวิธีในการต่อวีซ่าของตน หากต้องการอาศัยและทำงานอยู่ในประเทศจีนต่อ ขณะที่รอบริษัทที่สมัครงานเปิดรับและทำเรื่องขอวีซ่าทำงานให้ ซึ่งวิธีที่นิยมมากที่สุดคือ เดินทางออกนอกประเทศ คือไปประเทศใกล้ๆ ที่ค่าเครื่องบินไม่แพง เช่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง มาเก๊า มองโกเลีย หรือแม้กระทั่งบินไปพักร้อนที่ประเทศไทยสักพักหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันก็มีวิธีอื่นที่ไม่ต้องเดินทางออกนอกประเทศ แต่ต้องเสียเงินค่าเหนื่อยเล็กน้อย คนที่เลือกใช้วิธีนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ทำงานโดยไม่มีวีซ่าอนุญาตทำงานอยู่แล้ว หรือคนที่ทำงานติดพันจนไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ ซึ่งเท่าที่ทราบนายหน้าพวกนี้จะเรียกเก็บประมาณ 5,000 หยวน ต่อการออกวีซ่า 6 เดือนให้ ส่วนระยะยาวเป็นปีนั้นก็ย่อมต้องแพงขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
แน่นอนว่า พฤติกรรมนอกกฎหมายนี้เป็นการเซงลี้ฮ้อร่วมมือกันลับๆ ของกลุ่มมิจฉาชีพกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งน่าจะอยู่ในหมายกวาดล้าง 100 วันครั้งใหญ่นี้
จากการออกมาตั้งมาตรการเฉียบขาดจัดการกับชาวต่างชาติของกรุงปักกิ่งนี้ ทำให้เมือง นคร และมณฑลที่มีชาวต่างชาติอาศัยอยู่จำนวนมากต่างออกมารับลูกว่าจะจัดโครงการเช่นเดียวกันนี้ขึ้นในไม่ช้า ไม่ว่าจะเป็นเซี่ยงไฮ้ เฉิงตู และกว่างโจว
งานนี้นอกจากจะทำให้ชาวต่างชาติตื่นตัวกันใหญ่ และตกใจยิ่งโดยเฉพาะกรณีนาย "ครีเอทีฟ ไดเร็กเตอร์" ที่ไม่พ้นเข้าข่ายทำงานโดยไม่มีใบอนุญาต รวมทั้งคนที่เข้ามาอย่างถูกกฎหมายทุกอย่าง แต่ก็ต้องไม่ลืมที่จะพกพาสปอร์ตและใบลงทะเบียนที่พักติดตัวตลอดเวลาแล้ว ชาวจีนซึ่งเป็นเจ้าของประเทศเองก็ดูเหมือนว่าจะมีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้กันอย่างถึงพริกถึงขิงในสื่อสังคมออนไลน์ ต่างคนต่างพูด และบางคนก็ลากยาวไล่เลยไปจนถึงประวัติศาสตร์ อ่านแล้วทั้งสนุกและก็น่ากลัว
ที่ว่าสนุกก็เพราะว่ามีการขุดเรื่องด้านลบชาวต่างชาติในสายตาคนจีนออกมาพูดคุยกันอย่างสนุกปาก หาคลิปและวิดีโอมาโพสต์ลงในสื่อออนไลน์ต่างๆ ที่น่ากลัวก็เพราะว่ามีบางส่วนถึงกับอยากไล่ชาวต่างชาติออกจากประเทศทั้งหมด เพราะเชื่อว่าคนจีนเก่งกว่าทุกเรื่อง และบางคนถึงกับโกธรแค้นอย่างไร้เหตุผล ทำให้ชาวต่างชาติที่เข้าไปอ่านเกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัย
แต่ก็มีคนจีนที่มีการศึกษาดี และคนที่มองโลกอย่างเข้าใจเข้ามาออกความเห็นว่า เรื่องนี้ไม่ควรเอาอดีตที่ผ่านมานานแล้วมาโยงให้เกิดความปั่นป่วน ไม่ควรออกนอกประเด็น เพราะความจริงแล้วนโยบายนี้ของกรุงปักกิ่งก็เจาะจงเฉพาะชาวต่างชาติที่กระทำผิดกฎหมายต่างๆ เพียงเท่านั้น ไม่ได้เหมารวมไปหมดทุกคน เพียงแต่ขอความร่วมมือว่าในช่วงของการดำเนินโครง 100 วันนี้ ทุกคนควรจะพกเอกสารสำคัญติดตัวเสมอ เมื่อเรียกตรวจสอบจะได้ไม่เกิดปัญหาใด เพราะคนถูกก็ว่าไปตามถูก และคนผิดก็ว่าไปตามผิดอยู่แล้ว ไม่ต้องกังวลใดๆ และไม่ควรเอาความเชื่อที่เคยถูกสอนในแบบเรียนเก่าที่กล่อมให้นักเรียนมีความเกลียดชังชาวต่างชาติมาเป็นอคติ เพราะจะยิ่งทำให้เรื่องเลวร้ายลงไปกว่าเดิม อีกทั้งยังมีชาวต่างชาติอีกเป็นจำนวนมากที่สร้างคุณูปการในการพัฒนาประเทศจีน
นี่คือกระแส "ซานเฟย" หรือ "สามผิด" ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนในสังคมจีนที่คิดว่ายังไม่จบลงง่ายๆ เพราะกำลังแนวคิดนี้กำลังจะถูกส่งต่อไปยังเมืองใหญ่อื่นๆ ด้วย และยังเกิดขึ้นพร้อมๆ กับนโยบายเกี่ยวกับการให้กรีนการ์ด หรือใบอนุญาตพำนักถาวรในจีนแก่ชาวต่างชาติกำลังอยู่ในช่วงร่างแผนการ ซึ่งระบุอยู่แล้วว่าจะคัดสรรเฉพาะคนที่สร้างคุณประโยชน์ให้กับประเทศจีนเท่านั้น
ดังนั้นการออกมาตรการ "100 วัน กวาดล้างซานเฟย" นี้ ก็น่าจะเป็นผลดีในระยะยาวของการจัดระเบียบสังคมชาวต่างชาติในจีนอย่างดียิ่ง
พัลลภ สามสี