หลังจากมีการประกาศกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้สูงอายุจีน ฉบับแก้ไขปรับปรุงใหม่ ที่มีเนื้อหาระบุว่าลูกที่ไม่กลับไปเยี่ยมพ่อแม่บ่อยๆ มีความผิดตามกฎหมาย ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา ถัดไปไม่ถึงสิบวันก็เกิดปรากฏการณ์ขายบริการรูปแบบใหม่บนเว็บไซต์ถาวเป่า "รับจ้างกลับบ้านเยี่ยมพ่อแม่" ที่จะช่วยไปทำธุระ หุงหาอาหาร ซักเสื้อผ้าให้ เป็นต้น ซึ่งมีอัตราค่าบริการตั้งแต่ 50-60 หยวนต่อชั่วโมงไปจนถึง 3,000 หยวนเลยทีเดียว
ตัวอย่างร้านขายบริการรับจ้างเยี่ยมพ่อแม่บนเว็บไซต์ถาวเป่า
หนุ่มสาวจีนส่วนใหญ่ว่าส่วนตัวแล้วรับไม่ได้กับการใช้บริการรับจ้างกลับบ้านเยี่ยมพ่อแม่แทนนี้ เพราะรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ผู้เป็นลูกควรไปทำด้วยตนเอง หากซื้อของเรียกให้คนไปส่งแทนให้ยังโอเค แต่การไปดูแลเอาใจใส่เป็นเพื่อนคุยทำนองนี้ไม่น่าจะทำแทนกันได้ และเห็นว่าหากซื้อบริการนี้ก็เหมือนกับเป็นการลบหลู่ตนเอง
สำหรับผู้สูงอายุเองแล้วก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน เพราะเป็นเรื่องของความรู้สึกความผูกพันระหว่างตนกับลูกย่อมไม่มีใครมาแทนที่ได้ และต่างเข้าใจว่าเป็นเพราะลูกทำงานยุ่ง ควรจะเข้าใจและสนับสนุน แสดงออกถึงความรักและหัวอกของคนเป็นพ่อแม่ที่เป็นผู้ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ จากลูก
ดังนั้น เมื่อสื่อจีนได้ออกไปสอบถามผู้สูงอายุว่า มีความคิดเห็นอย่างไรต่อกฎหมายคุ้มครองสิทธิ์ใหม่นี้ และหากผู้เป็นลูกไม่กลับมาเยี่ยมบ่อยๆ จะฟ้องเอาผิดทางกฎหมายหรือไม่ คำตอบที่ได้รับส่วนใหญ่จึงเป็นดังคาดคือไม่ฟ้อง แต่ก็มีคำตอบเกินคาดให้เป็นที่ฮือฮาในสังคมกับคำตอบของคุณตาท่านหนึ่งที่ว่า ลูกไม่กลับมาเยี่ยมจะไปถือว่าฝ่าฝืนกฎหมายได้อย่างไร 30 แล้วยังไม่แต่งงานต่างหากที่ผิด!
"กฎคุณตา" ลูกไม่กลับบ้านเยี่ยมไม่เป็นไร ถ้า 30 แล้วยังไม่แต่งถึงผิด!
นับจากมีการเผยแพร่คลิปสัมภาษณ์ดังกล่าวบนอินเตอร์เน็ตเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคมที่ผ่านมา เพียงช่วงระยะเวลาไม่เกิน 48 ชั่วโมง มีจำนวนการเข้าชมกว่า 3 ล้านครั้ง และมีการถกประเด็นผ่านซินา เวยป๋อ-ไมโครบล็อกยอดนิยมของจีน ในช่วงระยะไม่เกิน 4 วันกระฉูดถึง 10 ล้านความคิดเห็น เกิดศัพท์ใหม่อย่าง "กฎคุณตา" และทำให้ "30แล้วยังไม่แต่งงานควรถูกพิพากษา" กลายเป็นหัวข้อร้อน ที่นอกจากเป็นคำกล่าวที่แสดงถึงการไม่เห็นด้วยของผู้พูดแล้ว ยังแฝงไว้ซึ่งเสียงสะท้อนจากหัวอกของคนสองรุ่นและไร้ซึ่งหนทางอีกด้วย
คำกล่าวของคุณตาเสมือนตัวแทนความรู้สึกนึกคิดของพ่อแม่ชาวจีนโดยทั่วไป ที่แม้ว่าลูกของตนจะไม่สามารถกลับมาเยี่ยมได้บ่อยๆ ก็เลือกที่จะให้อภัยกันได้ไม่ลำบากเท่าไหร่ แต่หากถึงวัยแต่งงานแล้วกลับไม่แต่งเป็นเรื่องยากจะทำใจให้รับได้
และจะว่าไปในตำราบันทึกคำสอนของขงจื๊อมีการกล่าวถึงการปฏิบัติตนต่อบิดามารดาว่า "หากบิดามารดาสูงอายุแล้ว พยายามไม่ไปต่างถิ่นเป็นเวลานาน หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ จำต้องบอกกล่าวท่านทั้งสองว่าจะไปไหน ทำไมต้องไป จะกลับเมื่อไร พร้อมทั้งจัดการด้านความเป็นอยู่ให้กับพวกท่านให้เรียบร้อยก่อนเดินทาง" และตามหลักคำสอนสำคัญของขงจื๊อ "ความกตัญญู" เป็นคุณธรรมพื้นฐานอันดับแรก และเห็นว่าการไร้ลูกหลานสืบสกุลถือเป็นการอกตัญญูต่อบุพการีและบรรพชน
ย้อนกลับไปในอดีตสังคมจีนโบราณหากอายุ 30 แล้วแต่ยังไม่แต่งงานถือเป็นการกระทำผิดกฎหมายจริง เพราะนับแต่สมัยจั้นกั๋ว ก๊กเย่ว์มีการบัญญัติกฎที่ว่า ชายอายุยี่สิบ หญิงอายุสิบห้าต้องแต่งงาน สมัยราชวงศ์ฮั่นกำหนดว่า หญิงที่อายุครบสิบห้าแล้วหากยังไม่แต่งงานจะถูกปรับเงินได้ เรื่อยมาถึงราชวงศ์ซ่งได้ลดอายุลงเป็นชายอายุสิบห้า หญิงอายุสิบสาม ราชวงศ์หมิงและชิง กำหนดอายุไว้ที่ชายอายุสิบหก หญิงสิบสี่ แม้ว่าสภาพการณ์ในสังคมจีนปัจจุบันการศึกษาเล่าเรียนทำให้อายุแต่งงานยืดออกไป แต่พ่อแม่จีนก็ยังคงปรารถนาได้เห็นลูกเป็นฝั่งเป็นฝา ได้อุ้มหลานไม่เปลี่ยน
แต่จากสภาพสังคมจีนในปัจจุบันที่มีความก้าวหน้าพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างไม่หยุดยั้ง การทำงานหาเงินตัวเป็นเกลียวไม่มีเวลากลับไปเยี่ยม ถึงกับต้องออกกฎหมายบังคับกันแล้วหรืออย่างไรชวนให้รู้สึกหดหู่ใจไม่น้อย แต่ก็เป็นอีกหนึ่งการชี้นำและกระตุ้นเตือนให้ผู้เป็นลูกเอาใจใส่ในบุพการีผู้แก่เฒ่ากลับไปเยี่ยมพวกท่านบ่อยๆ ที่ไม่ว่าจะคิดเห็นด้วยกับการ "ไม่กลับเยี่ยมบ้านผิดกฎหมาย" หรือ "อายุ 30 ยังไม่แต่งงานควรถูกตัดสิน" เชื่อว่าภายในใจชาวจีนผู้เป็นลูกทั้งหลาย ย่อมมีความรักเคารพและคิดถึงพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดไม่แตกต่างกัน
เก่าเล่าไปใหม่บอกมา โดย วังฟ้า 羅勇府