ประเทศจีนสมัยใหม่จะนับเยาวชนที่เกิดหลังยุคปี 1980-1990 เป็นคนรุ่นใหม่ของจีนที่เกิดมาพร้อมความสะดวกสบายและความทันสมัยของประเทศ บางคนแทบจะไม่รู้ประวัติศาสตร์รุ่นบุกเบิกสร้างชาติจีนด้วยซ้ำไป ซึ่งประสบปัญหาคล้ายกันกับหลายประเทศในโลก คนรุ่นใหม่เฉยเมยกับสังคมและพยายามดิ้นรนก้าวให้ทันกระแสบริโภคนิยมโดยไม่สนใจสิ่งอื่นๆ รอบกาย กระแสบริโภคนิยมกำลังมาแรงมากในจีน โดยเฉพาะตามเมืองใหญ่ๆ มีร้านค้าแบรนด์เนมมากมายเย้ายวนให้คนรุ่นใหม่เข้าไปช้อปปิ้งกันอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน บางร้านมีลูกค้าล้นออกมานอกร้านจนสร้างความประหลาดใจเข้าใจผิดว่า มีการลดแลกแจกแถมหรือไร แต่พอเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ปรากฏว่า สินค้าในร้านต่างเป็นราคาปกติไม่ได้ลดราคาแต่อย่างใด แต่ลูกค้าเลือกซื้อกันเหมือนราคาถูกมาก แต่ลูกค้าทุกคนก็ใช่ว่าจะมีรายได้สูงเหมือนกันหมด
" ทำอย่างไรถึงจะได้ครอบครองกระเป๋าแบรนด์เนมในราคาถูก" จึงทำให้สินค้าเลียนแบบแบรนด์เนมเป็นที่นิยมเช่นกันในหมู่วัยรุ่นจีนที่มีรายได้ไม่สูงนัก ในปัจจุบันถึงแม้ว่า พวกเขาจะไม่สามารถซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมได้ แต่พวกเขาสามารถหาซื้อถุงบรรจุสินค้าแบรนด์เนมที่โชว์ยี่ห้อและลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์ของสินค้านั้นๆ ซึ่งหาได้ง่ายบนร้านค้าออนไลน์ที่ขายถุงบรรจุสินค้าแบรนด์เนมโดยเฉพาะ หลายคนมองว่า พวกเขาไม่ได้ชอบคุณภาพสินค้าแบรนด์เนมเท่าไรนัก แต่พวกเขาต้องการแสดงให้ทุกคนรู้รสนิยมจากการหิ้วแค่ถุงบรรจุสินค้า
แบรนด์เนมซึ่งเปรียบเป็นเหมือนหน้าตาของพวกเขา บ่งบอกสถานะทางสังคม
รูปที่ 1
จากผลสำรวจวัยรุ่น 1,104 คนโดยหนังสือพิมพ์ไชน่า ยูธ เดย์ลี่ ระบุว่า กระแสบริโภคนิยม วัตถุนิยม ห่วงหน้าตาภาพลักษณ์ของตนเองมีถึงร้อยละ 84.2 นอกจากนั้นจากผลสำรวจยังระบุ 3 อันดับแรกที่วัยรุ่นคิดว่าเปรียบเสมือนหน้าตาภาพลักษณ์ของตน คือ เสื้อผ้าคิดเป็นร้อยละ 75.3 ของขวัญคิดเป็นร้อยละ 60.7 และรถยนต์คิดเป็นร้อยละ 59.5
" ฉันไม่ได้ซื้อเพราะมันเป็นแค่ถุงบรรจุสินค้าแบรนด์เนมแต่ฉันซื้อเพราะมันคือหน้าตาภาพลักษณ์ของฉัน คนทั่วไปไม่รู้ความแตกต่างระหว่างถุงบรรจุสินค้าแบรนด์เนมว่าเป็นถุงเลียนแบบหรือของแท้ มันทำให้ฉันรู้สึกดีมากเวลาถือที่ทำให้ทุกคนต่างคิดว่า ฉันเคยซื้อกระเป๋าหลุยส์วิคตองมาแล้วเพราะฉันกำลังถือถุงใส่กระเป๋าหลุยส์วิคตอง" นอกจากกระแสบริโภคนิยมสินค้าแบรนด์เนมแล้ว วัยรุ่นยังคิดว่า รถยนต์ก็เป็นอีกสัญลักษณ์หนึ่งของหน้าตาภาพลักษณ์ของตนเช่นกัน จากการสำรวจพบว่า วัยรุ่นที่เกิดหลังยุค 80-90 มีแผนหรือได้ซื้อรถยนต์ของตัวเองแล้วก่อนอายุ 30 ปี
ปรากฏการณ์นี้กำลังเกิดในสังคมจีน จึงมีคำถามในการสำรวจตามมาอีกว่า "ทำไมผู้คนมากมายจึงกลัวเสียหน้า" พวกเขาตอบว่า ผู้คนย่อมจะติดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอกที่เห็นครั้งแรก มีเด็กสาวผู้หนึ่งตอบว่า "ถ้าฉันแต่งตัวไม่ดีไม่มียี่ห้อ เวลาเดินเข้าร้านสินค้าต่างๆ คนขายมักจะไม่ให้บริการและมองแบบดูถูก มันทำให้ฉันรู้สึกแย่มาก"
นักศึกษามหาวิทยาลัยชั้นปีที่หนึ่งเล่าว่า ทุกวันนี้นักศึกษาทุกคนต้องมีแลปท๊อปเป็นของตัวเองมันเปรียบเสมือนหน้าตาของพวกเขา หากใครไม่มีจะรู้สึกแย่มากและจะพยายามอ้อนวอนพ่อแม่ให้ซื้อมาให้ตนให้ได้ โดยเฉพาะ
แลปท๊อปรุ่นใหม่ๆ ถือว่าเป็นสิ่งแทนหน้าตาของตนในสังคมมหาวิทยาลัยได้เป็นอย่างดี
รูปที่ 2
ผู้อำนวยการศูนย์จิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยฟูตานวิเคราะห์ว่า สาเหตุที่ทำให้วัยรุ่นต้องการสร้างหน้าตาภาพลักษณ์ของตนจากการบริโภคสินค้าต่างๆ นั้นมาจากเมื่อตอนวัยเด็กพวกเขาอาจจะไม่ได้รับการยอมรับหรือเคารพในความเป็นเด็กมากเพียงพอจึงทำให้พวกเขาต้องการการยอมรับจากสังคม และพยายามเชื่อมโยงจากการใช้สินค้าที่มีราคาแพงและฟุ่มเฟือยว่ามันสามารถยกระดับสถานะของพวกเขาได้ ในความเป็นจริงผู้ใหญ่หรือคนใกล้ชิดควรชี้แนะให้พวกเขามองหาความเรียบง่ายและวิธีการที่สร้างสรรค์เพื่อให้มาซึ่งการยอมรับมากกว่า วัยรุ่นในปัจจุบันกำลังเข้าใจผิด สังคมกำลังชี้นำให้พวกเขาลุ่มหลงไปกับวัตถุนิยมและสร้างความเชื่อแบบผิดๆ ว่า สิ่งของพวกนี้จะแทนภาพลักษณ์หน้าตาและได้รับการยอมรับทางสังคม และภาคธุรกิจนั้นกำลังเอาเปรียบและแสวงหาผลประโยชน์จากจุดอ่อนของมนุษย์
รองผู้อำนวยการสถาบันเศรษฐกิจและสังคมจีนวิเคราะห์เพิ่มเติมว่า การห่วงหน้าตาภาพลักษณ์จะส่งผลกระทบและเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีต่อคนรุ่นต่อไป ทุกวันนี้มีชนชั้นกลางจำนวนมากยอมจ่ายเงินเดือนทั้งเดือนเพื่อแลกกับเสื้อผ้าแบรนด์เนมเพียงแค่ชิ้นเดียว
ทุกปัญหามีทางแก้ไข หากสร้างค่านิยมที่ดีให้กับสังคมเพื่อลดทอนกระแสบริโภคนิยมและฟุ่มเฟือยของวัยรุ่น ต้องพยายามส่งเสริมและพัฒนาสินค้าแบรนด์ท้องถิ่นให้เป็นทางเลือกให้มากที่สุด ซึ่งจริงๆแล้วพวกเขามีสิทธิบริโภคอะไรก็ได้ตามที่เขาต้องการ แต่อย่าลืมแนะนำให้พวกเขาคิดถึงรายได้ที่ได้รับต่อเดือน รู้เท่าทันการใช้จ่ายว่าซื้อไปทำไมและเพื่ออะไร มีผู้คนวิเคราะห์ปัญหานี้มากมาย ในเวลาเดียวกัน ผู้ใหญ่เองควรหยุดต่อว่าหรือวิพากษ์พวกเขา เราควรถามและรับฟังวัยรุ่นด้วยว่า พวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ด้วย