โม่ เหยียนบอกว่า ตอนเด็กๆ แม้ต้องอยู่คนเดียวก็ยังไม่เข้าใจว่าความโดดเดี่ยวคืออะไร รู้แต่ว่ามีเวลาของตัวเองมากมาย แต่บางที่ก็รู้สึกหวาดกลัวและเบื่อมาก บางทีอยากหาเพื่อนมาคุยกัน อยากคุยกับผู้ใหญ่ อยากไปสถานที่ที่มีคนมากๆ ความจริง เพราะโดยธรรชาติของเด็กๆ มักชอบความคึกคัก ชอบมีผู้ใหญ่คอยดูแล แต่เนื่องจากสภาพแวดล้อมทางสังคมและครอบครัวในสมัยนะเน ทำให้โม่ เหยียนโดดเดี่ยวมากในสมัยเด็ก ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เขารู้สึกว่าอยากพูดและอยากคุยมาก เขาเล่าว่า "เมื่อพบเห็นสิ่งใหม่ๆ แปลกๆ แม้เป็นเรื่องเพียงเล็กน้อย ก็อยากถ่ายทอดให้คนอื่นทราบทันที อย่างเช่นเมื่อเห็นตั๊กแตนตัวใหญ่ สีสดใสที่ไม่เคยเจอ ก็อยากให้ทุกคนในหมู่บ้านทราบว่า ผมเจอตั๊กแตนวิเศษ"
โม่ เหยียนชำนาญในการเล่านิทาน
เมื่อโตขึ้นนิดหน่อย โม่ เหยียนชอบไปฟังคนเล่านิทานในตลาดนัดทุกสัปดาห์ หรือไปฟังผู้สูงอายุเล่านิทานในยามว่าง แล้วก็กลับบ้านมาเล่าให้แม่และพี่สาวฟัง เริ่มแรก แม่ก็ไม่อยากให้เขาไป เพราะคิดว่าเสียเวลาเปล่าๆ แต่ต่อๆ มา แม่และพี่สาว ตลอดจนเพื่อนบ้านก็มารุมฟังจนติดใจ โม่ เหยียนบอกว่า "มีคนชมผมว่า ความจำดีมากๆ ฟังเพียงครั้งเดียว ก็เล่าซ้ำได้เกือบเหมือนเดิม ด้วยความเป็นเด็กเลยดีอกดีใจเมื่อได้รับคำชมจากผู้ใหญ่ และรู้สึกภูมิใจมาก หลังจากนั้น ผมไม่เพียงแต่เล่าตามเรื่องเดิมเท่านั้น หากยังเพิ่มเติมเนื้อหาที่ผมแต่งเองเข้าไปด้วย ทำให้นิทานสนุกสนานยิ่งขึ้น" สิ่งนี้ยืนยันว่าความสามารถของการเล่านิทานของโม่ เหยียนก็เริ่มมีขึ้นมาตั้งแต่เขายยังเด็กๆ นั่นเอง