อาทิตย์ที่ผ่านมาเต็มไปด้วยความประทับใจทั้งจากเพื่อนร่วมงาน เพื่อนที่เล่นกีฬาด้วยกัน และเพื่อนชาวต่างชาติจากทั่วโลกที่บังเอิญมาพบและรู้มักคุ้นจนสนิทสนมกันที่สถานีวิทยุซีอาร์ไอแห่งนี้
แรกทีเดียว เป็นเพื่อนคนแรกในห้องทำงานของซีอาร์ไอที่นั่งทำงานเคียงข้างกันมาหลายปี สร้างความประหลาดใจปนสุขให้ด้วยการจัดการแข่งขันฟุตบอลนัดกระชับมิตรเป็นแมตซ์อำลาสนามของเมืองจีน นอกจากนี้ยังจัดทำโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์งานครั้งนี้ให้ด้วย โดยมีการออกแบบที่น่ารักสวยงาม ซึ่งทำให้เดินไปไหนมาไหน ผู้คนในที่ทำงานเป็นต้องหันมามอง บางคนก็เข้ามาทักบอกว่าภาพการ์ตูนที่ติดอยู่ในลิฟท์นั้นเหมือนกันตัวจริงมาก บางคนก็มาแซวว่าการ์ตูนน่ารักกว่าตัวจริงเยอะ ส่วนบางคนที่ไม่เคยทักทายกันมาก่อนก็จะพูดจากับเพื่อนพ้องกระซิบให้หันมามองเมื่อผมเดินผ่าน งานนี้เลยทำให้รู้สึกทั้งเขินทั้งประทับใจที่ดันต้องมากลายเป็นคนดังเอาก็เมื่อตอนจะเดินทางกลับประเทศไทยนี่เอง
เมื่อฝ่าสายตาผู้คนกลับมาถึงได้ ก็นั่งนึกถึงวันแรกๆ ที่มาทำงาน ซึ่งนั้นเพื่อนคนที่นั่งข้างๆ ยังขยันเล่นกีฬามาก ทั้งเทนนิสและฟุตบอล เมื่อเห็นเขาแต่งตัวเตรียมออกไปเล่นในช่วงพักกลางวัน เขาก็ใจดีชวนไปเล่นด้วย วันแรกที่ลงสนามฟุตบอลด้วยกัน ก็ทำให้เขางงไปบ้างเล็กน้อยว่าเราเองก็เล่นได้พอสมควร ทั้งที่รูปลักษณ์ภายนอกดูเหมือนไม่น่าจะเล่นกีฬาได้ดี
แต่ที่ทำให้เขาประทับใจและเปลี่ยนสายตาแปลกใจมาเป็นเคารพและฝากตัวเป็นครูและลูกศิษย์กันก็ด้วยว่าวันหนึ่งเราขอเขาไปเล่นเทนนิสด้วย แรกที่ได้ยินคำขอนี้ เพื่อนผู้มีนิสัยตรงไปตรงมาคนนี้ก็ถึงกับแสดงความฉงนใจออกมมาอย่างแจ่มแจ้งทางสายตาที่หันมามอง ด้วยเพราะปัญหาเรื่องรูปลักษณ์เดิมๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นฮิปปี้มากกว่านักกีฬานั่นเอง
แต่ด้วยความใจดี เขาจึงอนุญาตให้ไปด้วยอย่างเสียไม่ได้ แถมยังให้ยืมไม้เทนนิสที่เขาภูมิใจยิ่ง เพราะได้มาจากมือของ "แทมมารีน ธนสุกาญจน์" เลยทีเดียว
พอไปถึงสนามเขาก็มีอาการเกรงๆ นิดหน่อย เพราะคนที่เล่นอยู่เป็นระดับหัวหน้าทั้งนั้น จะเอาคนที่เล่นไม่เป็นมาขัดแข้งขัดขาก็กระไรอยู่ จึงปล่อยให้เรายืนดูอยู่สักพัก จนพวกเขาเล่นกันเหนื่อยแล้วนั่นเอง จึงเปิดให้เราได้ลงสนามบ้าง และด้วยแค่หวดโฟรแฮนด์เพียงลูกแรก ก็สร้างความแตกตื่นในสนามขึ้นมาทันที เพราะผมไม่เคยบอกใครมาก่อนว่าเล่นเทนนิสมายี่สิบกว่าปีแล้ว
และนั่นก็เป็นที่มา ทำให้เกิดมิตรภาพในสนามกีฬาขึ้น
ซึ่งทั้งฟุตบอลและเทนนิส ผมเองก็นับได้ว่าเป็นชาวต่างชาติคนแรกที่ไปลงสนามเล่นกับเพื่อนคนจีน รวมทั้งเป็นชาวต่างชาติคนแรกอีกเช่นกันที่ได้เป็นตัวแทนร่วมไปแข่งขันกีฬาทั้งสองประเภทในนามของสถานีวิทยุระหว่างประเทศแห่งประเทศจีน
ดังนั้น เมื่อเพื่อนจัดการแข่งขันนัดพิเศษให้เช่นนี้จึงประทับใจอย่างมาก ทำให้ภาพอดีตมมากมายหลั่งไหลไล่เรียงออกมาเป็นฉากๆ จนน้ำตาพาลจะไหล
ถัดมาอีกไม่กี่วันเพื่อนกลุ่มที่เล่นเทนนิสด้วยกันนัดไปรับประทานอาหารกลางวันด้วยกันเพื่อเป็นการเลี้ยงอำลาให้ ตลอดมื้ออาหารนั้นเต็มไปด้วยบรรยากาศที่อวลด้วยมิตรภาพ และภาษาของความเป็นกันเอง ทุกคนต่างหัวเราะอย่างสนุกสนานขณะที่ชวนดื่มขอบคุณกันตามธรรมเนียมสลับไปเรื่อย และนัดแนะกันว่าจะเดินทางไปหากันเมื่อไร และจะมีโอกาสได้เล่นเทนนิสกันอีกเมื่อไร ซึ่งหลายคนก็สัญญิงสัญญากันดิบดีว่าจะตามผมไปเล่นถึงที่เมืองไทยเลยทีเดียว
ช่วงกลางของงานเลี้ยง เพื่อนซึ่งเป็นชนเผ่ามองโกลลุกขึ้นและร้องเพลงพิเศษให้ตามธรรมเนียมบ้านเกิดของตน เนื้อหาของเพลงมีว่า "หงส์ป่าหนีหนาว เมื่อถึงเวลาก็ต้องคืนรัง บ้านเกิดอยู่ที่ใด ไม่เคยหลงทาง คนเราก็เช่นกัน แม้จากไปไกล สักวันต้องเดินทางกลับบ้านของตนเอง" ส่วนท่วงทำนองก็ไต่ระดับเสียงขึ้นสูงในแบบฉบับของเพลงทุ่งหญ้ามองโกลขนานแท้ จึงเร่งให้น้ำตาออกมาคลอหน่วยระรื่นแทบไหลริน แต่ที่หยุดยั้งไว้ได้ก็เพราะหลังจากร้องเสร็จ เพื่อนคนนี้ก็ดันโยนมุกตลท้ายว่า "เสียที่ร้องวันไปหน่อย ถ้าร้องอีกสัก 3-4 เพลงคงไพเราะกว่านี้" จึงเรียกเสียงฮาจากเพื่อนร่วมวงได้ครื้นเครง ทำให้บรรยากาศที่กำลังจะเดินไปทางซึ้งกลับมารื่นเริงเหมือนเดิม
หลังทุกคนแยกย้ายกันกลับไปทำงานต่อกันแล้ว ผมเองก็มาที่บ้านเพื่อพักผ่อน พอได้นั่งลงในห้องที่เงียบสงบ ใจก็ลอยวนกลับไปที่เนื้อเพลงนั้นอีกครั้ง ใคร่ครวญถึงเนื้อหากินใจของเพลงชนเผ่าจีนที่ช่างมีพลังอย่างยิ่ง เสียงร้องที่ไร้ดนตรีประกอบ เสมือนการทอดความจริงใจทั้งหมดทั้งมวลออกมากองอยู่ตรงหน้าให้เราได้เห็นอย่างแจ่มจะกะตา
งานต่อมาเกิดขึ้นในคืนวันเสาร์ เมื่อเพื่อนชาวต่างชาตินัดกันว่า ควรไปรวมตัวกันที่บาร์แห่งหนึ่งไม่ไกลจากที่ทำงานมากนัก เพื่อที่จะได้โอภาปราศรัยกันพอหอมปากหอมคอก่อนที่จะแยกลากันไปตามการหมุนของโลก ที่ครั้งหนึ่งเคยพาวนให้เรามาพบกัน และต่อมาก็หมุนแยกเราจากกันไปตามภาระหน้าที่ของตนเอง
แต่พอเดินเข้าไปที่ร้าน ก็ตื่นใจกับการเตรียมงานให้อบอวลมิตรภาพจากการฉายภาพเก่าแก่กว่า 5 ปี ที่มีโอกาสทำงานด้วยกัน เที่ยวเล่น และกินดื่มด้วยกันมาขึ้นบนจอโปรเจ๊กเตอร์ขนาดใหญ่กลางบาร์ของร้าน
ณ เวลานั้นมีเพื่อนมากันบ้างแล้ว 3-4 คน เราต่างสวมกอดกันและกัน เพราะรู้ว่านี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตก็ได้ที่พบกัน เพราะทุกคนต่างอาศัยกันอยู่คนละมุมโลก
ผ่านไปร่วมชั่วโมง ผู้คนเริ่มทยอยกันเข้ามาในร้าน ตกดึกราวห้าทุ่มบาร์ชานเมืองที่เคยเงียบสงัดแม้จะเป็นช่วงปลายสัปดาห์ก็เต็มแน่นขนัดไปด้วยผู้คน นับรวมๆ แล้วน่าจะเกิน 50 คนเห็นจะได้ ไม่จะเป็นเพื่อนชาวอังกฤษ สก็อตแลนด์ ออสเตรีย ฮังการี บัลแกเรีย โรมาเนีย อัลบาเนีย อาร์เมเนีย เซอร์เบีย โครเอเชีย กรีซ ฝรั่งเศส เยอรมัน สวิตเซอร์แลนด์ รัสเซีย อิหร่าน ตุรกี บราซิล เม็กซิโก อาร์เจนตินา แทนซาเนีย อินโดนีเซีย เนปาล ลาว ไทย และจีน
มองไปทางไหนก็เห็นแต่แววตาแห่งมิตรภาพที่ส่งมาให้ตลอดเวลา ทุกคนต่างเข้ามาสวมกอดแนบแน่น แล้วสนทนากันถึงอนาคตระหว่างกันว่าใครวางแผนชีวิตที่จะเดินต่อจากนี้ไปอย่างไรบ้าง เพราะทุกคนตระหนักดีว่าไม่สามารถอยู่ที่นี่ไปได้ตลอดชีวิต เป็นเพียงก้าวสำคัญหนึ่งที่ได้มีโอกาสมาเป็นประจักษ์พยานความเปลี่ยนอันรวดเร็วของประเทศจีนและถ่ายทอดหรืออกอากาศรายการกลับไปประเทศของตน อีกทั้งยังมีโอกาสได้พบปะผู้คนหลากหลายมากยิ่งขึ้น
แต่ประโยคสุดท้ายมักจะลงเอยว่า "เราต้องไปพบนายที่กรุงเทพฯ แน่นอน" แม้จะรู้ว่าหลายคนที่พูดแบบนี้ออกมา คงไม่มีโอกาสทำให้เป็นจริงได้ เพราะหลายปีที่รู้จักกันมาก็เห็นอยู่แล้วว่า แต่ละคนมีเส้นทางชีวิตอย่างไร แต่ก็แสดงให้เห็นความปรารถนาดีและความห่วงหาอาลัยที่ต้องจากกัน
ในคืนนั้น ผมพูดกับเพื่อนๆ ทุกคนที่มารวมตัวด้วยใจรักว่า "ถึงแม้ว่าผมต้องจากไป แต่ก็เพื่อการงานที่ท้าทายรออยู่เบื้องหน้า ซึ่งนี่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นการลาจากครั้งสุดท้าย เราต้องได้พบกันอีกแน่นอน และผมสัญญาว่าจะรักทุกคนเช่นเดิม มิตรภาพนั้นเปรียบเสมือน "สายลม" และ "แสงแดด" มนุษย์เราไม่สามารถดำรงอยู่ได้ โดยปราศจากสองสิ่งนี้ฉันใด "เพื่อน" ทุกคนก็เช่นกัน หากไม่มีพวกคุณ วันนี้ก็คงไม่มีผมเช่นกัน ผมจะรอพวกคุณอยู่ที่เมืองไทย รอให้พวกคุณนำสายลมแห่งความหวังดีและแสงแดดที่สดใสไปฝากผมให้ได้"
และสุดท้ายก็ยืมคำร้องจากเพลงที่เพื่อนคนจีนร้องให้วันก่อนมาเรียบเรียงใหม่เสริมไปว่า "หงส์ป่าหนีหนาว เมื่อถึงเวลาก็ต้องคืนรัง ผมเองก็เช่นกัน โบยบินจากบ้านเกิดมาอยู่ที่นี่หลายปีแล้ว ถึงเวลาต้องหนีหนาวคืนรังบ้าง"
คนเราย่อมมีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่มีอะไรที่เราจะยึดเหนี่ยวไว้กับตัวเองได้ตลอดเวลา แม้กระทั่ง "ลมหายใจของเราเอง" สิ่งที่ดำรงอยู่ต่อไปอีกนานแสนนานคือ "ความทรงจำ" เท่านั้น โดยเฉพาะความทรงที่ดีๆ จากเพื่อนดีๆ ที่มอบให้อย่างท่วมท้นในช่วงเวลาที่เราเคยผ่านทางมาพบกัน
พัลลภ สามสี