ขุนนางหรือข้าราชการจีนสมัยโบราณมีกำหนดเวลาเข้าทำงานและเลิกงานเช่นเดียวกับปัจจุบัน แต่ต่างกันตรงที่ปัจจุบันโดยทั่วไปแล้วจะเข้างานเก้าโมงเช้าเลิกงานห้าโมงเย็น แต่ในอดีตนั้นเป็นสังคมเกษตรกรรมจะพักผ่อนกันแต่หัวค่ำและเริ่มงานแต่เช้ามืด
เรียกว่าได้ยินเสียงไก่ขันปุ๊บต้องลุกขึ้นมาเตรียมตัวออกจากบ้าน เพื่อมุ่งหน้าเข้าวังไปรายงานตัวให้ทันตอนหกถึงเจ็ดโมงเช้า ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับบรรดาข้าราชการที่มียศตำแหน่งสูงได้ระดับและขึ้นตรงกับส่วนกลาง ที่จะต้องไปเข้าประชุมพร้อมถวายรายงานต่างๆ ต่อฮ่องเต้ ที่เรียกว่า "ซ่างฉาว" ดังที่เคยกล่าวถึงไปแล้วก่อนหน้านี้
และจะเลิกงานกลับบ้านได้ก็ตอนราวบ่ายสามหรือบ่ายสี่โมงเย็น ซึ่งนอกจากความต่างในเรื่องของเวลาเข้าออกงานของข้าราชการจีนในอดีตกับปัจจุบันแล้วยังมีความต่างในเรื่องของวันหยุดอีกด้วย
โดยข้าราชการจีนในปัจจุบันมีวันหยุดได้อาทิตย์ละสองวัน แต่ถ้าเป็นในสมัยราชวงศ์ฮั่น(206ปีก่อนค.ศ. - ค.ศ.220) ทุกห้าวันจะมีวันหยุดพักงานได้เพียงหนึ่งวันเท่านั้น เรียกว่า "ซิวมู่ 休沐" ซึ่งได้ใช้สืบเนื่องไปจนถึงสมัยราชวงศ์สุย (ค.ศ. 581-618)
แต่ทั้งนี้ ในช่วงที่มีการแบ่งแยกการปกครองภายหลังสมัยราชวงศ์ฮั่นนั้น จีนทางใต้ได้มีการเปลี่ยนแปลงระเบียบข้อกำหนดนี้ โดยในสมัยราชวงศ์เหนือใต้(ค.ศ.420-589) ราชวงศ์ทางใต้ที่มีเมืองหนานจิงเป็นเมืองหลวงในสมัยราชวงศ์เหลียง(ค.ศ. 502-557) นั้น ได้กำหนดให้ทุกๆ สิบวันจึงจะมีวันหยุดราชการได้หนึ่งวัน เรียกว่า สวิ๋นเจี่ย 旬假 หรือสวิ๋นซิว 旬修 คือ จะหยุดงานในทุกวันที่ 10 วันที่ 20 และในวันสุดท้าย(29 หรือ 30)ของเดือน ต่อมาในสมัยราชวงศ์หมิงและชิงก็ปรับเลิกข้อกำหนดเรื่องวันหยุดนี้ออกไป จวบถึงยุคสาธารณรัฐ (ค.ศ.1912-1949) จึงได้กำหนดให้วันอาทิตย์เป็นวันหยุดราชการ
นอกจากนี้ โดยเฉพาะในสมัยหมิงและชิงหากบิดามารดาถึงแก่กรรมจะถูกปลดออกจากงานเป็นเวลาสามปี เรียกว่าเป็นการพักงานระยะยาวกันเลยทีเดียว เพราะแรกเริ่มรัฐบาลตอนนั้นมีข้อกำหนดให้วันหยุดราชการมีใน 3 วันสำคัญเท่านั้น ได้แก่ วันปีใหม่ วันตงจื้อ(วันหน้าหนาวมาถึง ซึ่งเป็นวันที่ช่วงกลางวันสั้นที่สุด กลางคืนยาวที่สุด) และวันเฉลิมพระชนมพรรษาของฮ่องเต้
แต่ในความเป็นจริงแล้ววันไหว้บะจ่างและวันไหว้พระจันทร์ก็มีความสำคัญเทียบเท่ากัน และแม้ว่าในสมัยหมิงและชิงนี้มีข้อกำหนดเรื่องวันหยุดราชการที่ต่างออกไป แต่ก็มีการใช้วิธีหยุดแบบรวบยอด คือ เก็บรวมมาให้หยุดทีเดียวเป็นเดือนในตอนปีใหม่หรือตอนฤดูหนาวแทน
มีหัวหน้าสถานีหอดูดาวเป็นผู้ดูและกำหนดประกาศวันหยุดออกมา ซึ่งจะเป็นช่วงประมาณวันที่ 20 ธันวาคมของทุกปี เรียกว่า "วันงดประทับตรา" แล้วถัดออกไปอีกราวหนึ่งเดือนจึงให้เป็น "วันเปิดประทับตรา" ซึ่งในช่วงนี้ ขุนนางข้าราชการจีนในอดีตยังคงต้องมาเข้าเวรประจำการ เพียงแต่จะไม่มีการสะสางจัดการงานเอกสารความใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้น วันหยุดช่วงฤดูหนาวนี้ จึงถือเป็นการทบยอดชดเชยเรื่องวันหยุดราชการและวันหยุดเทศกาลที่ขาดหายไม่มีในช่วงปีที่ผ่านมา
ข้าราชการจีนยุคใหม่ต้องใส่ใจจรรยาบรรณขุนนางยุคเก่า
ปัจจุบันภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจีน ฉบับที่12 (ปี 2011 – 2015) รัฐบาลได้ให้ความสำคัญในเรื่องการยกระดับคุณธรรมประจำใจเหล่าข้าราชการของรัฐด้วย โดยในช่วงปลายปี 2011ที่ผ่านมา กระทรวงกิจการพลเรือนแห่งชาติจีนได้ออกประกาศ "เค้าโครงการฝึกอบรมคุณธรรมข้าราชการ" ซึ่งข้าราชการทุกคนทั้งใหม่และเก่า รวมถึงผู้ฝึกงานจะต้องเข้ารับการฝึกอบรมเรียนรู้จรรยาบรรณข้าราชการ
โดยจะต้องมีเวลาเรียนไม่ต่ำกว่า 6 คาบเรียน ซึ่งจะนำหลักแห่งคุณธรรมที่ขุนนางจีนในสมัยโบราณยึดถือ มาเป็นแนวทางสำคัญประกอบเนื้อหาการฝึกอบรมด้วย โดยเห็นว่าหลักแห่งคุณธรรมขุนนางจีนโบราณนี้แฝงความหมายที่ลึกซึ้ง ช่วยเตือนตนเตือนใจในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการในยุคปัจจุบันได้ ซึ่งในอดีตฮ่องเต้จูหยวนจาง ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์หมิง ก็ได้ทรงยึดหลักที่ว่า "ผู้มีวัฒนธรรมเป็นแกนกำลังสำคัญของการปกครอง" การคัดเลือกผู้มีความรู้ความสามารถมาปฏิบัติหน้าที่จำต้อง "มีคุณธรรมเป็นหลัก ความรู้ความสามารถเป็นรอง"
นอกจากนี้ฮ่องเต้คังซีผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ชิง ก็ได้ทรงมีพระวิจารณญาณให้ความสำคัญกับเรื่องของคุณธรรมนี้เช่นกัน อาทิ พระองค์ทรงมีพระดำริว่า "หากจะพิจารณาคนเก่งจำต้องมีคุณธรรมเป็นพื้น ผู้ที่ครองคุณธรรมนำหน้าความสามารถถือเป็นสุภาพบุรุษ ส่วนผู้ที่ครองความฉลาดนำหน้าคุณธรรมคือผู้มีใจทรามต่ำต้อย" และในเรื่องการคัดเลือกใช้คนนั้น พระองค์ยังมีพระดำรัสต่อว่า "เราเลือกคนพิจารณาจากจิตใจก่อน แล้วจึงดูต่อที่ความสามารถ หากใจไร้เมตตาการุณย์ แม้นมีความรู้เก่งฉกาจจะมีประโยชน์ใด?"
ดังนั้น แม้ว่าการจัดอบรมให้กับข้าราชการจีนในปัจจุบันนี้ อาจไม่สามารถยกระดับจิตใจและแก้ปัญหาการกระทำที่ไร้จรรยาบรรณของข้าราชการให้หมดสิ้นไปได้อย่างมีประสิทธิผล แต่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ช่วยกระตุ้นให้สังคมตระหนัก และหันมาใส่ใจยกย่องผู้ที่ทำดีให้มีกำลังใจทำต่อไป
เก่าเล่าไปใหม่บอกมา โดย วังฟ้า 羅勇府