ท่านวิบูลย์ คูสกุล เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปักกิ่ง และคุณวิกรม กรมดิษฐ์
รองประธานสภาธุรกิจไทย-จีน ให้สัมภาษณ์รายการโทรทัศน์ของช่องเทียนตี้ ของซีอาร์ไอ
เมื่อวันศุกร์ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา ณ ห้องโถงชั้นล่างของสำนักงานซีอาร์ไอ มีการจัดงานแนะนำผลไม้ไทย ซึ่งทางซีอาร์ไอภาคภาษาไทยกับสถานทูตไทย ณ กรุงปักกิ่ง ร่วมกันเป็นเจ้าภาพ ในงานนี้มีการเชิญนักธุรกิจจีนที่นำเข้าผลไม้ไทย แขกผู้มีเกียรติทั้งจีนและต่างประเทศเข้าร่วมอย่างคับคั่ง พร้อมการสัมภาษณ์บนเวทีของสถานีโทรทัศน์ระบบอินเตอร์เน็ตซินเทียนตี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในเครือข่ายของสถานีวิทยุนานาชาติแห่งประเทศจีนหรือซีอาร์ไอ
โดยแขกรับเชิญบนเวทีคือท่านวิบูลย์ คูสกุล และคุณวิกรม กรมดิษฐ์ คนแรกพูดในฐานะข้าราชไทยที่คอยอำนวยความสะดวกในด้านการค้าการลงทุนให้กับทั้งนักธุรกิจจีนและไทย อีกคนพูดในฐานะรองประธานสภาธุรกิจไทย-จีน นอกจากเน้นเรื่องการนำเข้าผลไม้ต่างๆ ที่วางแสดงอยู่หน้าเวที อาทิ ทุเรียน เงาะ มังคุด ลำไย กล้วยไข่ แล้ว ยังเน้นถึงการลงทุนในภาคส่วนอื่นๆ ด้วย ซึ่งทั้งสองท่านบนเวทีตอบคำถามพิธีกรด้วยภาษาจีนกลางอย่างคล่องแคล่วชัดถ้อยชัดคำจนชาวจีนที่มาร่วมงานต่างประหลาดใจถึงความสามารถนี้
และไม่เท่านั้น เมื่อพิธีกรถามถึงเรื่องการเดินทางโดยขบวนรถบ้านขนาดใหญ่ภายใต้ชื่อการเดินทางว่า "วิถีเพื่อนบ้าน คาราวานเอเชีย 2012" ซึ่งเป็นวิถีที่คุณวิกรมและทีมงานเดินทางมายังกรุงปักกิ่งในครั้งนี้ ยิ่งทำให้เรื่องราวบนเวทีสนุกมากขึ้น เพราะแค่เพียงได้ยินว่าเดินทางมาโดยรถยนต์จากประเทศไทย ก็ยิ่งเรียกความตื่นเต้นและความอยากรู้เรื่องราวโดยละเอียดมากขึ้น
วิกรม กรมดิษฐ์
ซึ่งวิกรมก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวัง
โดยเริ่มเล่าให้ฟังว่า การเดินทางครั้งนี้เป็นการต่อยอดประสบการณ์การเดินทางครั้งแรกเมื่อปี 2011 ซึ่ง เป็นเพียงระยะสั้นในประเทศเพื่อนบ้านของไทยที่ริมฝั่งโขงเท่านั้น แต่วิกรมบอกว่าหลังจากเดินตามความฝันของตัวเองในครั้งแรกสำเร็จแล้ว(สามารถหาหนังสือบันทึกการเดินทางครั้งนี้ได้ในร้านหนังสือทั่วไป) ก็เกิดประกายความคิดอยากเดินทางให้ไกลกว่าเดิม และท้าทายยิ่งกว่าเดิม โดยบอกว่าเป็นการเดินทางแบบ "หนีร้อนไปพึ่งเย็น" เพราะวันที่กำหนดออกเดินทางจากประเทศไทยที่อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้วนั้น ตรงกับวันที่ 17 มีนาคม ซึ่งนับได้ว่าเข้าหน้าร้อนจี๋ของไทยมาหลายก้าวแล้วทีเดียว โดยกำหนดว่าจะผ่านกัมพูชา ลาว เวียดนาม จีน และสุดท้ายปลายทางที่มองโกเลีย อีกทั้งยังระบุว่าตลอดเส้นทางในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นจะค่อยทแยงขึ้นไปจนจรดมหาสมุทรแปซิฟิกหรืออ่าวตังเกี๋ยของเวียดนาม แล้วเลาะเรื่อยมายังหนานหนิง กว่างตง เจ้อเจียง ซานตง เทียนจิน จนมาถึงปักกิ่ง โดยเน้นถนนเลียบชายฝั่งทะเลเป็นสำคัญ เพื่อรักษาอุณหภูมิไม่ให้ร้อนเกินไป และสุดท้ายไปพึ่งเย็นที่ดินแดนทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่บ้านเกิดของเจง กีสข่าน จอมทัพอันเกียงไกรของโลก ซึ่งจะใช้เวลาการเดินทางทั้งหมดราว 6 เดือน กินระยะทางทั้งสิ้นประมาณ 40,000 กิโลเมตร และเมื่อคณะวนกลับจนถึงเมืองไทยก็จะเป็นหน้าหนาวพอดี
เรียกได้ว่าเป็นเส้นทางแห่งสิริมงคลด้วย เพราะมีแต่เย็นกับเย็น เป็นการ "หนีร้อนมาพึงเย็น" ของแท้ และยังได้ทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ประเทศไทยอย่างมีความคิดสร้างสรรค์และสีสันอย่างยิ่ง ซึ่งน้อยคนนักที่จะทำได้ เพราะการเดินทางเช่นนี้ไม่ใช่เพียงแค่มีเงินทุนใครๆ ก็สามารถที่จะทำได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ "ความกล้า" กล้าที่จะคิดนอกกรอบ กล้าที่จะเดินออกจากความมั่นคงของตัวเอง กล้าที่จะลองผิดลองถูกบนเส้นทางเบื้องหน้าที่ไม่คุ้นเคย และไม่มีวันคาดเดาได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง