เดือนกรกฎาคมในประเทศจีนถือว่าเป็นช่วงที่ร้อนสุดๆ ของปี แสงแดดจากดวงอาทิตย์ที่กลมโตกว่าปกติสาดส่องตรงลงมาสู่พื้นผิวโลกโดยไม่มีเมฆหมอกมาบดบัง ทุกหัวระแหงจึงระอุไอไปทุกตารางนิ้ว

ดังนั้นกิจกรรมของชาวปักกิ่งในช่วงนี้จึงเกิดขึ้นนอกบ้านเสียเป็นส่วนใหญ่ รวมถึงร้านอาหาร ผับบาร์หรือเบียร์การ์เด้นท์ต่างๆ ก็ขยายพื้นออกมาอยู่นอกตัวอาคารกันให้คึกคัก

พูดถึงเรื่อง "เบียร์การ์เด้นท์" ที่เมืองไทยเรานั้นมักจะจัดกันตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเรื่อยไปจนข้ามปี และสิ้นสุดเอาที่ราวต้นเดือนกุมภาพันธ์ เพราะช่วงนั้นถ้าเป็นภาษานักท่องเที่ยวก็จะเรียกว่าเป็น "ไฮซีซั่น" หรือ "ฤดูท่องเที่ยว" เนื่องจากอากาศในเมืองไทยจะค่อนข้างเย็นสบายไม่ร้อนอบอ้าวเหมือนเดือนอื่นๆ ตลอดปี อีกทั้งยังปลอดฝน คนจึงนิยมออกไปท่องเที่ยวและทำกิจกรรมนอกบ้าน รวมถึงการไปนั่งสังสรรค์สนทนากันในเบียร์การ์เด้นท์ด้วย

บรรยากาศในร้าน "Blues Station" ในวันที่มีงาน "Fête de la Musique"

 วันที่ 21 มิถุนายนที่ผ่านมา

แต่เนื่องจากสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกันอย่างลิบลับ ที่เมืองจีนจึงมีเดือนที่เป็น "ไฮซีซั่น" ต่างจากเมืองไทย ช่วงที่เรานั่งชิวกันอยู่ที่แถวลานหน้าห้างริมถนนราชประสงค์ คนจีนก็จัลี้กันอยู่ในบ้าน หรือถ้าใครจะไปเที่ยวก็เลือกที่ที่มีความอบอุ่น ไปร้านอาหารก็ต้องนั่งรมควันกันอยู่ในร้าน ดังนั้นพอหมดหนาวราวเดือนพฤษภาคม คนเขาก็จะเริ่มออกมารับแดดรับลมกัน จิตใจก็ผ่องใสขึ้น เพราะแมกไม้ก็ผลิบาน มองไปทางไหนก็มีแต่แมกไม้เขียวๆ สลับกับสีสันนานาของหมู่มวลดอกไม้ ช่วงนี้จึงเริ่มเป็นช่วง "ไฮซีซั่น" ของจีนบ้างแล้ว กิจกรรมก็แตกต่างกันออกไปตามรสนิยม บางคนอาจจะไปปีนเขา บางคนไปทะเล หรืออกไปเดินช้อปปิ้ง แต่พอตกย่ำเย็นก็จะเห็นร้านอาหารทุกร้านที่มีโต๊ะตั้งอยู่ด้านนอกริมถนนคราคร่ำไปด้วยผู้คน บางครอบครัวก็พาลูกเล็กเด็กแดง พาพ่อแม่ที่แก่เฒ่าออกมานั่งสังสรรค์กัน เป็นกิจกรรมครอบครัวที่น่ารักไปอีกแบบ

เหมือนคนไทยที่ชอบพาครอบครัวไปกินหมูกระทะหันั่นแหละครับ ยิ่งคนเยอะ ยิ่งสนุก ยิ่งทำให้ครอบครัวมีความสุขสมานฉันท์กันมากขึ้น

และนอกจากร้านอาหารทั่วไปแล้ว ในยามราตรีกลางเมือง ร้านรวงต่างๆ ก็พากันเปิดหลังคา เปิดหน้าร้านต้อนรับลูกค้าขี้ร้อนที่ไม่ชอบนอนแต่หัววันกันถ้วนหน้า แถมยังแข่งขันกันตกแต่งบรรยากาศไม่ให้ซ้ำกัน ทำให้ลูกค้าสามารถนั่งชิวกันได้อย่างมีความสุข

เขตที่มีร้านนั่งชิวส่วนใหญ่จะอยู่ย่าน "กู่โหลว" ซึ่งมีรถไฟฟ้าใต้ดินสาย 2 โผล่ไปถึงใกล้ๆ และในอนาคตอันใกล้นี้ก็จะมีสายใหม่ที่มีสถานีอยู่ที่ "หนานหลูกู่เซี่ยง"(ถนนคนเดินที่น่ารักที่สุดในปักกิ่ง" และ "โฮ่วไห่"(ทะเลที่ล้อมรอบด้วยบาร์นับร้อย) ซึ่งจริงๆ แล้วก็เป็นย่านเดียวกัน เดินทะลุถึงกันได้ชนิดยังไม่ทันเมื่อย

ในคอลัมน์นี้จะไม่พูดถึง "โฮ่วไห่" ซึ่งในฤดูร้อนอย่างนี้ ทุกร้านย่อมยกโซฟาออกมาตั้งให้ชิวบรรยากาศริมทะเลสาบกันอยู่แล้ว และอีกอย่างก็เพราะว่าที่นี่มีคนพลุกพล่านเกินไป คนที่ไปเที่ยวส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวที่มาแวะปักกิ่งเพียงชั่วคราว แถมหนังสือแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ก็ระบุไว้หมดแล้ว จึงขอละเว้นที่จะกล่าวถึง โดยจะเลือกเพียงร้านที่มีการตกแต่งอย่างดี มีบรรยากาศไม่เหมือนใคร ที่สำคัญต้องแยกตัวออกมาจากความแออัดแบบจีนด้วย

บรรยากาศหอระฆังยามประดับไฟช่วงเทศกาลตรุษจีน

จากมุมนั่งสบายๆ ของร้าน "Drum & Bell Bar"