ร้านแรกที่จะขอแนะนำชื่อ "Blues Station" ร้านนี้เพิ่งเปิดใหม่ได้ไม่นาน ตั้งอยู่ที่ริมหัวมุมถนนเยื้องๆ กับหอกลอง "กู่โหลว" เดิมร้านเก่าขายสินค้าจำพวกเซรามิกดีไซน์ราคาแพง และเพิ่งเปลี่ยนเป็นบาร์ได้ไม่นานมานี้ แม้เจ้าของร้านใหม่จะไม่ได้เพิ่มการตกแต่งมากนัก แต่ด้วยความที่เป็นคล้ายสตูดิโอขายผลงานศิลปะในบ้านโบราณแบบปักกิ่งแล้ว ก็เพียงพอที่จะดึงดูดให้นักดื่มที่ชื่อชอบความคลาสสิกให้แวะเข้ามานั่งชมบรรยากาศ ยิ่งเมื่อทางร้านได้ขยายส่วนที่เป็นหลังคาดาดฟ้าแล้วด้วย ร้านนี้จึงยิ่งโดดเด่นน่านั่งมากที่สุดแห่งหนึ่งในย่านนี้ เสียก็แต่เพียงว่า ความที่ทำเลที่ตั้งอยู่ตรงหัวมุมถนน คนที่นั่งบนดาดฟ้าจึงสามารถได้ยินเสียงรถราวิ่งไปมาบ้างเป็นบางครา แต่ข้อดีก็คือร้านนี้หาง่าย วิวดี เพราะสามารถมองเห็นโบราณสถานสำคัญของกรุงปักกิ่งอย่าง "หอกลอง" และ "หอระฆัง" ได้ด้วย และยังมีพื้นที่สำหรับดนตรีสดด้วย ซึ่งชื่อร้านก็บอกอยู่อย่างโจ่งแจ้งว่าที่นี่ต้องเน้นดนตรีสไตล์บูลส์ ซึ่งหาร้านเฉพาะทางนี้ในปักกิ่งไม่ง่ายเลยทีเดียว ส่วนสนนราคาเครื่องดื่มก็พอๆ กับร้านอื่นในย่านนี้
ถัดกันมาไม่ไกลมีร้านที่ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในกรุงปักกิ่งมายาวนานรู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะเปิดกิจการมาหลายปีดีดัก และยังคงบรรยากาศที่ชิวที่สุดไว้ได้อย่างดี อาจจะด้วยเพราะร้านนี้ตั้งอยู่หน้าลานกว้างที่เชื่อมระหว่าง "หอกลอง" และ "หอระฆัง" หน้าร้อนจะปกคลุมไปด้วยแมกไม้สีเขียวขจี ปราศจากเสียงรถวิ่งรบกวน ถ้าจะมีก็เพียงรถจักรยานสามล้อ ซึ่งพอถึงเวลาค่ำที่ควรจะมีบรรยากาศแบบชิว สามล้อรับจ้างเหล่านี้ก็เลิกงานกันหมดแล้ว
ร้านนี้ชื่อว่า "Drum & Bell Bar" ด้วยจุดเด่นของร้านที่ตั้งอยู่ในย่านท่องเที่ยว จึงไม่ต้องสรรหาวงมาเล่นให้เปลือง อาศัยเปิดแผ่นเพลงเพราะๆ ก็อวลให้บรรยากาศเพลิดเพลินเจริญใจอย่างยิ่งแล้ว โดยเฉพาะชั้นสองที่เปิดโล่งตลอดปี ซึ่งในหน้าหนาวใครสู้ไหวจะขึ้นนั่ง เจ้าของร้านก็ไม่ได้ห้ามปราม แต่หน้าร้อนแบบนี้คงต้องไปให้ถึงตั้งแต่หัววันหน่อยถึงจะดี เพราะใครๆ ต่างก็มุ่งไปนัดพบกันที่นี่
มองไปด้านหน้าก็เห็นหอทั้งสองสูงตระหง่าน ยิ่งในยามที่ประดับไฟยิ่งสวยงาม ส่วนอีกด้านเป็นหลังคากระเบื้องของบ้านโบราณสื่อเหอย่วนของปักกิ่งที่เรียงรายกันไปสุดลูกหูลูกตา ซึ่งเพื่อนคนไทยที่เคยมานั่งถึงกับรำพันขึ้นมาว่า "มิน่าล่ะในหนังจีนจอมยุทธ์ทั้งหลายถึงสามารถกระโดดไต่ไปมาบนหลังคาได้ ก็ชายคาบ้านแต่ละหลังมันไม่ได้ห่างกันเลย แทบจะชายคาชนกันเลยด้วยซ้ำ"
บนดาดฟ้าแห่งเดียวกันนี้ยังเป็นจุดชมพลุฉลองวันตรุษจีนที่วิเศษที่สุดอีกแห่งหนึ่งของกรุงปักกิ่ง เพราะด้วยฉากหลังโบราณสถานที่เก่าแก่และงดงามเหล่านี้นี่เอง
สำหรับเครื่องดื่มก็มีให้เลือกตั้งแต่ค็อกเทล เบียร์นานาชาติ เบียร์สด และไวน์ พร้อมโต๊ะบอลเล็กให้ยอดเหรียญหมุนโยกกันมันมือหากมากันเป็นหมู่คณะ
หน้าร้าน "El nido" ที่ดิบเถื่อนและแสนธรรมดา แต่ลูกค้าแน่นทุกคืน
อีกร้านหนึ่งในย่านนี้ที่ดูดิบเถื่อนอย่างมาก แต่กลับเป็นที่ส่องสุมของกลุ่มวัยรุ่นแนวๆ ชาวต่างชาติ ทั้งคนที่ทำงานแล้ว และมาเรียนต่อที่นี่ บางครั้งยังอาจจะเห็นคิวเรเตอร์จากแกลเลอรี่ชื่อดังของ 798 ควงศิลปินมีชื่อมานั่งชิวบรรยากาศของ "หูถ้ง" ยามค่ำคืนก็ได้
ร้านนี้ชื่อว่า "El nido" อยู่ห่างจากปากซอยฟังเจีย หูถ้ง(Fangjia Hutong) เข้าไปประมาณ 100 เมตร จากปากทางอาจจะดูเงียบเหงาถ้าไม่คุ้นกับสถานที่ แต่คนที่ไปกันยบ่อยก็จะไม่ลังเลที่จะเดินดุ่ยๆ ตรงเข้าไปในซอยเล็กๆ แคบนั้นทันที เพราะนอกจาก "เอล นีโด้" แล้วยังมีผับบาร์อีกหลายแห่ง อย่าง "Hot Cat Club" ซึ่งมีวงอินดี้มาเล่นสดทุกคืน
"กรุณาคุยกันเสียงเบาลงหน่อย" เป็นประโยคที่ "เสี่ยวฉ่วย" หนุ่มเจ้าของร้านที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย เดินเข้าไปบอกลูกค้าทีละโต๊ะหลังจากนาฬิกาเดินเลยเลข 12 ไปแล้วทุกคืน
ด้วยว่าที่ตั้งร้านของเขาอยู่ในย่านที่อยู่อาศัยเก่าแก่ไม่ไกลจากวัดลามะหรือ "ยงเหอกง" สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งหนึ่งของกรุงปักกิ่ง และที่เขาต้องทำอย่างนี้ก็แสดงว่าคงมีการร้องเรียนกันเกิดขึ้นมาแล้ว ซึ่งลูกค้าทุกคนก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ทำให้ร้านที่เป็นเพียงห้องสี่เหลี่ยมธรรมดาๆ และโล่งๆร้ของประดับตกแต่งแห่งนี้สามารถเดินหน้ากิจการมาได้มากกว่า 5 ปีแล้ว ทั้งยังขยายพื้นที่กว้างขึ้น เพิ่มสินค้ามากขึ้นอีกด้วย
จะว่าร้าน "เอล นีโด้" ไม่ได้ตกแต่งเลยก็ไม่ได้ เพราะจุดเด่นของร้านนี้คือ "ตู้แช่" เต็มผนังสองด้านที่เรียงรายไปด้วยเบียร์จากทุกมุมโลก แม้กระทั่ง "เบียร์ลาว" ยังมีจำหน่ายในราคาขวดละ 25 หยวน (ไม่มีเบียร์ไทย) นอกจากนี้ยังมีโหลวทรงสูงบรรจุเหล้าดองสูตรจีนให้ลูกค้าชาวตะวันตกได้ชิมความเอ็กโซติกอีกด้วย ส่วนคอไวน์ก็มีบริการทั้งแบบเป็นแก้วและขวด พร้อมตู้แช่ชีสใหม่เอี่ยมนานาชนิดให้เลือกแกล้มด้วย
ด้านนอกร้านวางชุดโต๊ะยาวแบบในโรงอาหารโรงเรียนไว้ 3 ตัว ใครมาใครไปก็จะแบ่งปันกันนั่งแบบไม่รังเกียจรังงอน สร้างบรรยากาศที่อบอุ่นเป็นกันเองไปในตัว ตรงนี้นี่เองที่เป็นเสน่ห์ดิบเถื่อนของ "เอล นีโด้" เพราะในคืนที่เราออกไปชิวบรรยากาศหน้าร้อนเช่นนี้ อาจจะทำให้ได้เพื่อนใหม่ไว้ดื่มกันยันหน้าหนาวเลยก็ได้
และถ้าถูกชะตากันแล้วจะนั่งทำความรู้จักกันยันเช้าเจ้าของร้านก็ไม่ว่า เพราะไม่ใช่แค่ "เอล นีโด้" แต่ร้านไหนๆ ถ้าลูกค้ายังไม่ไปและเห็นว่ายังดื่มกันได้อยู่ ส่วนใหญ่ก็จะอนุญาตให้นั่งรอพระอาทิตย์ขึ้นแย้มขอบฟ้าได้เลยทีเดียว
แผนที่ผับบาร์ที่เข้าร่วมงาน "Fête de la Musique" ซึ่งจัดขึ้นทุกปีในย่าน "กู่โหลว"
ร้านแบบนั่งข้างนอกแบบนี้ยังไม่หมด ที่ยกมาในครั้งนี้เพียง 3 แห่งที่อยู่ไม่ไกลกันมากเท่านั้น สามารถที่จะเดินถึงกันได้สบายๆ หากใครมีเวลาเที่ยวสั้นๆ ในกรุงปักกิ่ง และไม่มีภารพมากับบริษัททัวร์ก็สามารถลากคืนนั้นให้ยาวเหยียดจนไก่โห่ได้กับ 3 ร้านที่ชิวที่สุดในย่าน "กู่โหลว" นี้
พัลลภ สามสี