สามนักเดินทางผู้บ้าบิ่นพาคบเพลิงโอลิมปิกดำดิ่งสู่ท้องทะเลแคริบเบียนที่โครเอเทีย
แต่ปรากฎว่า เพียงแค่เดินทางมาถึงชายแดนสุดของประเทศจีนต่อกับคาซัคสถาน การเดินทางกับเจ้า "ธันเดอร์ เลิฟ" ก็เป็นอันจบสิ้นลง เพราะทางการจีนไม่อนุญาตให้นำรถออกนอกประเทศ แม้จะแสดงเอกสารสิทธิ์ความเป็นเจ้าของรถ ให้คำอธิบายเรื่องความตั้งใจในการเดินทางต่างๆ นานา แต่กฎหมายยังไงก็ยังคงเป็นกฎหมาย ไม่ว่าใครที่มีความฝันยิ่งใหญ่สักปานใด หากไม่เข้าตามตรอกออกตามประตู ทำเรื่องราวให้ถูกต้องตามกติกาก็ย่อมไม่สามารถหลีกเลี่ยงผ่านออกได้
ในที่สุดพวกเขาจำต้องจอด "ธันเดอร์ เลิฟ" ไว้ที่ชายแดน และระบุไว้ว่า หากใครต้องการขับมันกลับไปยังปักกิ่งก็จะนับว่าเป็นเรื่องที่วิเศษอย่างยิ่ง เพราะอย่างน้อยมันก็จะได้กลับไปยังอู่ที่กำเนิดเครื่องใหม่ให้เมื่อไม่กี่วันก่อน
งานนี้ทำให้การเดินทางตามตารางของพวกเขาล่าช้าไปมากกว่าที่กำหนด เพราะวันที่ 12 มิถุนายน พวกเพิ่งจะสามารถข้ามชายแดนจีนออกมายังคาซัคสถานได้ และเป็นการเดินเท้าออกมาพร้อมข้าวของจำนวนมากมาย ซึ่งในช่วงหนึ่งต้องอาศัยลาเทียมเกวียนด้วยซ้ำ
เพียงแค่ก้าวแรกที่พวกเขาย่ำออกมาจากประเทศจีนก็ต้องประสบกับความยากลำบากเหนือความคาดคะเนอย่างเหลือแสน
และแม้ว่าจะเผชิญกับอุปสรรคเช่นนี้ แต่พวกเขาก็ยังยิ้มแย้มให้กับเส้นทางที่ขรุขระและปกคลุมไปด้วยฝุ่นเบื้องหน้าได้อย่างไม่ย่อท้อ
ต่อมาหลังจากที่พวกเขานำข้าวของที่จำเป็นน้อยที่สุดในการเดินทาง ซึ่งแต่ก่อนเคยบรรจุอยู่ในท้ายรถไปที่ทำการไปรษณีย์เพื่อส่งพวกมันไปนอนรออยู่ที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ที่เปาโลมีเพื่อนสนิทอยู่ที่นั่น เมื่อครั้งเล่นฟุตบอลอาชีพช่วงที่เรียนหนังสือ พวกเขาจึงเดินทางกันต่อได้ด้วยการเปลี่ยนมาแบกเป้และนั่งรถประจำทางไปตามที่หมายเดิมที่กำหนดไว้
เช้าวันต่อมาเหมือนทุกอย่างจะเริ่มต้นด้วยดี แสงแดดสดใสส่องเส้นทางเบื้องหน้าให้กระจ่างตา พวกเขานั่งรถราวสองชั่วโมงครึ่งไปยังชายแดนทาจิกิซสถาน ก่อนที่จะข้ามฝั่งไปนั้นเจ้าหน้าที่ของอุซเบกิซสถานยังมอบผลไม้ให้จำนวนหนึ่งซึ่งปลูกอยู่ที่ด้านหลังห้องทำงานนั่นเอง เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ แต่ยิ่งใจ ชะโลมใจคนเดินทางที่เพิ่งผิดหวังมาไม่นาน
แต่ความไม่แน่ไม่นอนก็ยังไม่สิ้นสุด เพราะเมื่อพวกเขาตะเวนไปตามเส้นทางเมือง "กุนจาน" และเมืองข้าม"พันจาเกนต์" เพื่อวกกลับเข้าอุซเบกิซสถานอีกครั้งนั้นต้องประสบกับเรื่องที่คาดไม่ถึงอีก เพราะว่าเมื่อมาถึงด่านที่เมืองแห่งนี้ ปรากฎว่าด่านถูกดปิดตายไปนานแล้ว และไม่มีใครที่สามารถช่วยพวกเขาให้ผ่านไปได้ นอกจากต้องรอนแรมไปยังกรุงดูชานเบ เพื่อข้ามต่อไปยังเมือง "ซามากันด์" ของอุซเบกิซสถาน และระหว่างที่รอเวลา พวกเขาก็ไม่เสียเที่ยวที่จะไปขอวีซ่าของประเทศเติร์กเมนิสสถานไปล่วงหน้าด้วย
หลังจากสิ้นสุดความลำบากในส่วนนี้แล้วก็ดูเหมือนการเดินทางครั้งนี้จะคล่องตัวขึ้น อาจด้วยเพราะได้รับประสบการณ์มากขึ้น รู้ว่าต้องเตรียมตัวอย่างไร ต้องปฏิบัติตนแบบไหนในสถานที่ที่แปลกหน้าเหล่านี้ โดยมีเพียงแต่ความแปลกต่างทางวัฒนธรรมเท่านั้นที่ทำให้พวกเขาตื่นใจ
อย่างที่ประเทศอิหร่าน ที่นี่ไม่อนุญาตให้บุรุษใส่กางเกงขาสั้น ใส่ได้เพียงกางเกงห้าส่วนที่ปลายขาอยู่เลยเข่าลงไป ส่วนผู้หญิงนั้นยิ่งไปกันใหญ่ เพราะต้องใส่ชุดคลุมและฮิญาบปกคุลมทุกส่วน ยกเว้นมือและใบหน้าเพียงเท่านั้น ซึ่งคนที่มาจากเมืองร้อนอย่างบราซิลต่างก็งง เพราะพวกเขารู้สึกว่ายิ่งร้อนก็ควรยิ่งต้องใส่ให้น้อยชิ้น แต่สำหรับคนตะวันออกกลางนั้น ยิ่งร้อนก็ยิ่งต้องปกคลุมมาก เพราะจะทำให้ผิวได้รับรังสียูวีไม่มากเกินไป
แผนที่การเดินทางจากปักกิ่งสู่ลอนดอนผ่าน 25 ประเทศ
ภายในระยะเวลา 57 วัน บนเส้นทางกว่า 20,000 กิโลเมตร
ส่วนที่จอร์เจียและอาร์เมเนียนั้นไม่มีปัญหาแต่ประการใด พวกได้รับการต้อนรับจากเพื่อนและผู้พบเห็นอย่างดี และยังสนุกสนานกับการเอาคบเพลิงโอลิมปิกปักกิ่ง ไปวิ่งในเมืองเพื่อบันทึกภาพด้วย
จนมาถึงตุรกีที่ตัดสินใจอยู่ถึง 6 วันนั่นเอง สามหนุ่มบ้าบิ่นของเราจึงมีแผนขึ้นในใจเกี่ยวกับพาหนะที่จะพาเดินทางต่อไปยังลอนดอนให้สำเร็จดังที่ตั้งหวัง โดยทำการเช่ารถคันหนึ่งจากเยอรมนี ซึ่งทางบริษัทจะขับมาให้ที่อัลบาเนีย
ระหว่างการอยู่ที่ตุรกีจึงเหมือนการได้พักผ่อนเฮือกสุดท้ายก่อนจะตะลุยขับรถกันต่อ รวมถึงชาร์ตพลังกับชายหาดและท้องทะเลของเมืองที่สวยงามต่างๆ ในดินแดนลี้ลับของโลกแห่งนี้
และที่นี่นี่เองที่ทั้งสามได้พบกับเรื่องที่ต้องให้ลำบากใจอีกครั้งหลังจากไม่พบมาหลายวัน แต่ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ในบางแห่งบางหนที่คนไม่ต้อนรับชาวต่างชาติ ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นที่เมือง "โบดรัม" ทางชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ เพราะทีนี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวพื้นถิ่นที่มองไปทางไหนก็มีแต่คนตุรกีไปทั้งสิ้น
จุดผ่านของการเดินทางครั้งนี้อีกแห่งหนึ่งก็คือ "กรีซ" เพราะถือว่าเป็นต้นกำเนิดของกีฬาโอลิมปิก สามหนุ่มของเราก็ได้แวะไปที่เมือง "โอลิมเปีย" เมืองเล็กๆ ซึ่งเป็นสถานที่เคารพสักการะเทพเจ้าซีอุสผู้เป็นพ่อของเทพโอลิมเปียด้วยการเล่นกีฬาในสนามโบราณที่จุคนได้ราวสี่หมื่น ซึ่งยังคงเห็นสภาพความรุ่งเรืองในอดีตได้อย่างแจ่มชัดจากซากปรักหักพังที่ถูกอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี
หลังจากเสร็จสิ้นการสัมผัสจิตวิญญาณต้นกำเนิดของโอลิมปิกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งสามก็มุ่งหน้าไปที่อัลบาเนีย เพราะนัดรถไว้ที่นั่น แต่ปรากฎว่าทางบริษัทส่งข้อมูลมาเลื่อนไปอีก 4 วัน พวกเขาจึงตัดสินไปบอกทางบริษัทให้ส่งรถไปที่โครเอเทียแทน เพราะระยะทางใกล้กว่า
ดังนั้นเมื่อต้องเสียเวลารอถึง 4 วัน พ่อเจ้าประคุณทั้งสามที่พร้อมจะเสาะหาความสนุกสนานก็เกิดเนื้อเต้นขึ้นมาทันทีว่าต้องไปแวะเที่ยวชายทะเลให้หนำใจเสียหน่อย จึงเบนเส้นทางไปยังมอนเตเนโกรและเที่ยวเทศกาลชายหาดโครเอเทียที่เมืองชื่อ "ดูบร็อฟนิก" ที่ซึ่งพวกเขาได้นำคบเพลิงที่ติดตัวมาจากปักกิ่ง และพาไปวิ่งมาแล้วทั่วทุกเมืองที่เดินทางผ่านลงไปดำดิ่งใต้ท้องทะเลคาริบเบียน
นี่คือข้อมูลล่าสุดที่สามหนุ่มผู้ต้องการเชื่อมต่อจิตวิญญาณแห่งโอลิมปิกจากปักกิ่งสู่ลอนดอน พวกเขายังมีเส้นทางอีกยาวไกลในยุโรป แม้อาจจะเผชิญกับเหตุการณ์ยากลำบากน้อยลง เพราะเส้นทางในอนาคตต่อจากนี้น่าจะลดน้อยลง ด้วยเพราะเส้นทางที่เชื่อมต่อและอุปสรรคเรื่องภาษาจะไม่มีอีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อเข้าเขตที่พูดภาษาเยอรมัน สเปน โปตุเกส และอังกฤษ
สิ่งที่ต้องช่วยลุ้นก็คือ ความปลอดภัยในการเดินทาง เพราะต่อจากนี้พวกเขาจะกลับขึ้นมาสู่ท้องถนนอีกครั้ง เพื่อสานฝันการขับรถสู่โอลิมปิก 2012 ให้เป็นจริงสมใจ
ช่วยลุ้นและเป็นกำลังใจให้พวกเขาได้ในเว็บไซต์ต่างๆ ที่ให้ไปก่อนหน้านี้
เดินทางโดยสวัสดิภาพนะเพื่อน
พัลลภ สามสี