จีนปริทรรศน์: เรียนหนักเกินไปไหม
  2012-12-10 17:42:12  cri

สัปดาห์ที่ผ่านมามี 3 ภาพข่าวที่น่าสนใจเกี่ยวกับแวดวงการศึกษาจีน

แรกทีเดียวคือภาพของห้องเรียนแห่งหนึ่งจากมณฑลเหอเป่ยของจีนสร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้ใช้อินเตอร์เน็ตที่พบเห็นเป็นอย่างมาก เพราะไม่คิดว่าเด็กนักเรียนจีนจะต้องอยู่ในสภาพเป็นคนไม่ใช่คนขนาดนี้

ภาพนั้นก็คือ ถุงน้ำเกลือที่ห้อยระโยงระยางอยู่บนเพดานห้องเรียน ทั้งจากเสาแบบที่ใช้ในโรงพยาบาล หรือจากการประดิษฐ์เองด้วยเส้นลวดที่ขึงเป็นตาข่าย จากนั้นสายยางสีแจ๋วก็จะนำพาหยดน้ำมาที่ปลายเข็มซึ่งเสียบติดอยู่ที่บริเวณเส้นเลือดข้อแขนของนักเรียนทุกคนในห้อง ซึ่งนั่งอยู่ในแวดล้อมของกองหนังสือขนาดมหึมา และครูก็กำลังทำการสอนอยู่หน้าห้อง

แรกเห็นนึกว่าเป็นฉากในหนัง หรือไม่ก็เป็นโรงเรียนสำหรับผู้ผู้ป่วยด้วยโรคอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถไปเรียนร่วมกับเด็กทั่วไปได้ แต่หลังจากเห็นรายละเอียดแล้วจึงทราบว่านี่คือ "ห้องเรียนปกติ" แต่ที่ทำให้ภาพนี้ไม่ปกติก็เพราะว่าเด็กทุกคนในห้องเรียนนี้กำลังเรียนกันอย่างหนักเพื่อจะให้สามารถทำข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ และสิ่งที่เด็กนักเรียนกำลังรับจากสายยางนั้นก็ไม่ใช่น้ำเกลือแต่อย่างใด หากแต่เป็น "อะมิโน" ที่มีประโยชน์ในการทำให้ร่างกายสดชื่น มีเรี่ยวแรงในการอ่านหนังสือยาวนานขึ้น

แม้ผู้คนจะรู้แล้วว่าถุงน้ำนั้นเป็นอะมิโน แต่ก็ยังไม่หายแปลกใจระคนตกใจจนเกิดคำถามในใจมากมาย เช่น "เหตุไฉนเด็กๆ เหล่านี้ต้องเรียนกันหนักขนาดนี้ด้วย"

"ทำไมไม่กลับไปพักผ่อนที่บ้าน"

"หากรับอะมิโนมากเกินไปจะเกิดผลข้างเคียงหรือไม่"

"ทำไมไม่ไปออกกำลังกายให้สดชื่นและสมองปลอดโปร่งแทน"

"ท่อนแขนของเด็กเหล่านี้ไม่เต็มไปด้ววรอยเข็มหรือ"

"เข็มที่ใช้สะอาดหรือเปล่า ใครเป็นคนเสียบให้"

"เด็กๆ ยินดีรับอะมิโอเอง หรือว่าผู้ปกครองหรือครูบังคับ"

หรือแม้กระทั่งเกิดคำถามว่า "เด็กพวกนี้เป็นลูกหลานของเราที่ต้องเติบโตในอนาคตจริงๆ หรือ"

ซึ่งครูที่ทำการสอนอธิบายว่าเด็กๆ เหล่านี้ยินยอมที่จะรับสารอะมิโนกันทุกคน เพราะว่าใครๆ ก็อยากที่จะเข้ามหาวิทยาลัยได้ และอะมิโนถุงนึงก็ราคาเพียง 10 หยวนเท่านั้น ไม่ได้แพงอะไรเลย ซึ่งก็มีประโยชน์ในการทดแทนพลังงานที่สูญเสียไปกับการคร่ำเคร่งเรียนหนัก และการกระทำเช่นนี้เป็นการประหยัดเวลาที่จะต้องเสียไปกับการเดินทาง และไม่ต้องกลับไปทบมวนบทเรียนที่บ้านอีก เพียงแต่กลับไปนอนอย่างเดียวก็พอ เพราะแต่ละวันได้ใช้พลังงานในการเรียนอย่างเต็มที่ที่โรงเรียนแล้ว

คำอธิบายของครูคนนี้ฟังดูแล้วก็ถูกต้องทุกประการสำหรับที่เกิดขึ้นอยู่ในนี้ในมุมมองของเขาเอง

แต่ในมุมมองอื่นต่างรู้สึกว่าเรื่องนี้ประหลาดยิ่ง พากันทวงถามว่าเวลาส่วนตัวของเด็กหายไปไหน มีเพื่อนสนิทบ้างไหม ได้มีโอกาสไปท่องเที่ยวหาความสุขให้เพลินเพลินใจบ้างไหม นอกจากนั่งอยู่ที่โต๊ะและก็จมหน้าไปตัวหนังสือเรียนหลากหลายวิชาตรงหน้า

เด็กที่เก่งแต่ในหนังสือเช่นนี้จะไปมีชีวิตรอดในโลกแห่งความจริงได้ไหม เพราะเด็กเหล่านี้มีเพียงเพื่อนเป็นหนังสือ แถมยังเป็นเพื่อนที่ไม่ได้อยากสนิทสนมด้วย คนที่นั่งเรียนอยู่ข้างกันก็เป็นเพียงคู่แข่งที่ต้องเบียดคะแนนกันเพื่อให้สอบผ่าน และในอนาคตก็จะกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน เด็กอย่างนี้หรือจะเติบโตเป็นอนาคตของชาติได้

สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นต้นตอหนึ่งของจำนวนนักศึกษามหาวิทยาลัยจีนจำนวนมากที่โดดหอพักตายหลายรายต่อปี เพราะเมื่อมาเผชิญกับโลกชีวิตในมหาวิทยาลัยแล้วไม่สามารถกลมกลืนเข้าไปกับบรรยากาศของเพื่อนฝูงได้ และก็ยังกดดันจากการเรียนเป็นทวีคูณอีก

ซึ่งภาพข่าวนี้ทำให้หลายคนย้อนคิดว่าระบบการศึกษาของจีนที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ดีเพียงพอแล้วหรือไม่ ทำอย่างไรจึงจะทำให้เด็กไม่ต้องเรียนหนักและกดดันเช่นนี้

แต่คำถามเช่นนี้เป็นเรื่องยากมากที่จะแก้ไข เพราะระบบชนชั้นทางการศึกษา ความเท่าเทียม ระบบสีหรือพวกพ้องของมหาวิทยาลัย และจำนวนประชากรที่มากมายของจีนก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่บีบบังคับให้ทุกคนต้องก้าวไปยืนอยู่ข้างหน้าให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม เพื่อที่จะให้ได้มีโอกาสมากกว่าผู้อื่น ซึ่งทำให้ทุกคนแก้แต่เพียงปัญหาเฉพาะหน้ากันก่อน นั่นก็คือ ต้องเรียนให้เก่งที่สุด เก่งกว่าคนอื่น ส่วนผลข้างเคียงจะเป็นอย่างไรก็ค่อยไปแก้ไขเอาดาบหน้า

แน่นอนว่า "เชื้อความคิด" เช่นนี้ย่อมมีผลข้างเคียงมากกว่าปริมาณของสารอะมิโนที่รับเข้าไปเกินขนาดเสียอีก

ภาพที่น่าตกใจอีกชิ้นคือ ภาพเด็กผู้หญิงวัยรุ่นร่างผ่ายผอมจนน่าตกใจคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนเตียงคนไข้ ซึ่งเธอมีอาการป่วยจากโรคเบื่ออาหารอย่างรุนแรง

สาเหตุก็เพราะว่า "เธอเรียนหนักมากเกินไป" โดยทุ่มเวลาไปกับการศึกษาทั้งที่โรงเรียนและที่บ้านจนไม่มีเวลารับประทานข้าวปลาอาหาร โดยวันๆ มีเพียงข้าวต้มและไข่ต้มเท่านั้นที่ตกถึงท้อง เมื่อทำติดต่อเช่นนี้นานวันเข้าร่างกายก็เริ่มปฏิเสธอาหารทุกอย่าง สุดท้ายเธอก็ต้องมาพึ่งพาโรงพยาบาลเพื่อกู้ชีวิตที่กำลังอ่อนแรง

สิ่งที่ทำให้สาวน้อยที่ชื่อว่า "เสี่ยวเว่ย" วัยเพียง 15 – 16 ปี ต้องตกอยู่ในสภาพนี้ก็เพราะว่าเธอถูกตำหนิจากพ่อ หลังจากที่ผลการเรียนที่เคยอยู่ในระดับดีมากตกลงมา โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์ ซึ่งทำได้เพียง 75 จากคะแนนเต็ม 120 พ่อของเธอดุด่าว่าทำไมถึงปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมา แถมยังพูดว่าตัวเขาเองอุตส่าห์ทุ่มเทกำลังหาเงินตัวเป็นเกลียวเพื่อจะให้เธอได้เข้าเรียนในโรงเรียนที่ดีที่สุดของเมือง จ่ายเรียนพิเศษต่างๆ นานาให้ไม่เคยขาดก็น่าจะตั้งใจเรียนไม่ให้ตกลงมามากขนาดนี้ ซึ่งพ่อคนนี้บอกว่าตัวเองรู้สึกเสียหน้าอย่างมาก เพื่อนพ้องที่มีลูกวัยเดียวกันจะมองเขายังไงที่ลูกเรียนโง่ลงขนาดนี้

เมื่อถูกพ่อบังเกิดเกล้าดุด่าเช่นนี้เธอก็เลยรู้สึกเครียด ทั้งที่พยายามอธิบายแล้วว่าวิชาอื่นก็ได้คะแนนอยู่ระดับสูงทั้งสิ้น มีเพียงวิชาเดียวเท่านั้นที่ตกลงมาก แต่ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไรพ่อของเธอก็ไม่ฟัง

ซึ่งทำให้ "เสี่ยวเว่ย" รู้สึกเครียดอย่างมาก

และยิ่งเมื่อเธอมารู้ในภายหลังว่าสาเหตุที่แท้จริงที่คะแนนสอบวิชาดังกล่าวของเธอตกลงนั้นมาจากความสะเพร่าของตนเองจากการกาข้อสอบไม่ชัดเจน ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ไม่อ่านคำตอบของเธอ ก็เลยิย่งทำให้กธรตัวเองอย่างมาก

ดังนั้นในเทอมต่อมา ขณะที่เบื่อนขึ้นชั้นมัธยมปลายนั้น "เสี่ยวเว่ย" จึงทุ่มเวลาเรียมากขึ้นและละเอียดมากขึ้น จนในที่สุดผลการเรียนของเธอก็ขยับขึ้นมาดีเหมือนเดิม และอีกเทอมถัดไปเธอก็ทำคะแนนได้ดียิ่งขึ้นไปอีก ถึงขนาดว่าในการสอบวัดระดับทั่วทั้งเมือง เธอก็ได้ถึงอันดับ 6 จากนักเรียรุ่นราวคราวเดียวกันที่เข้าร่วมทดสอบ 2,000 คน ซึ่งสามารถกู้หน้าให้กับพ่อของเธอสำเร็จในที่สุด

ช่วงเวลานี้ ร่างกายของเธอเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงให้เห็นชัดเจนบ้างแล้ว จากการที่รับประทานอาหารน้อยลง เรียนหนัก และพักผ่อนน้อย ซึ่งเพื่อนที่โรงเรียนสังเกตเห็นและทักว่าเธอผอมลงมาก แต่ก็สำทับว่าผอมแบบนี้สวยดี เพราะแต่ก่อนเสี่ยวเว่ยออกจะอวบอั๋นไปนิด

ด้วยวิธีคิดแบบเด็กสาวทั่วโลกที่เห็นว่า "ผอม แปลว่า สวย" เธอก็เหมือนได้กำลังใจ เลยยิ่งกินอาหารจำกัดจำเขี่ยเช่นเดิมต่อไปอีก จนในที่สุดโรค "อะนาร็อกเซีย" หรือโรคเบื่ออาหารขั้นรุนแรงก็ปรากฎกายออกมาอย่างชัดเจน ซึ่งถึงเวลานี้ร่างกายของเธอก็ปฏิเสธอาหารอย่างจริงจัง จนในที่สุดก็ต้องถึงมือของแพทย์อย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว

ข่าวนี้ทำให้เกิดคำถามสองอย่างขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน หนึ่งคือ คะแนนสอบสำคัญว่าชีวิตของตัวเองเชียวหรือ และสอง คือ พ่อแม่ซึ่งอยู่บ้านเดียวกันทุกวันไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงของลูกเลยหรืออย่างไร เพราะถึงขนาดป่วยเป็นอะนาล็อกเซียเช่นนี้ ย่อมต้องเห็นชัดเจนอยู่แล้ว เด็กที่เคยมีน้ำมีนวล แล้วกลายเป็นคนผอมเหลือแต่ซี่โครงเช่นนี้ไม่อยู่ในความใส่ใจของผู้ปกครองเลยหรือ...

หรือต้องการเพียงสร้างแรงกดดันให้เด็ก และต้องการความพึงใจในหน้าตาทางสังคมของตนเองเท่านั้น

การต้องอยู่กับความคาดหวังที่สูงเช่นนี้ และด้วยความรักความกตัญญูที่มีอย่างเต็มเปี่ยมของเสี่ยวเว่ย จึงทำให้เธอก้าวข้ามขีดจำกัดของร่างกายไป

ทุกคะแนนที่เธอสอบดีขึ้น คือ น้ำหนักแต่ละขีดที่หดหายไป ซึ่งวันที่เข้าโรงพยาบาลนั้น เสี่ยวเว่ยเหลือน้ำหนักตัวไม่ถึง 40 กิโลกรัมด้วยซ้ำ

ข่าวอีกชิ้นที่น่าตกใจเกิดขึ้นในมหาวิทยาลัย ซึ่งแม้ว่าจะฝ่าฟันการสอบเข้าอันหฤโหดมาแล้ว ต้องผ่านเข็มสารอะมิโน ต้องฝ่าพันความคาดหวังของคนในครอบครัว จนในที่สุดได้มายืนอยู่ในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษา ซึ่งอีกไม่นานจะได้ก้าวออกไปสู่โลกการทำงานที่ทุกคนต่างรอคอย

แต่ก็ใช่ว่าชีวิตในมหาวิทยาลัยจะสุขสบายกว่าแต่อย่างใด เพราะการเรียนระดับนี้มีการแข่งขันกันสูงมากขึ้นไปอีก

อย่างเหตุการณ์ที่เป็นข่าว ซึ่งเกิดขึ้นมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่มีจำนวนนักศึกษาหนาแน่นและเกินไปกว่าอุปกรณ์การเรียนและจำนวนอาจารย์จะรับไหว

ซึ่งในห้องเรียนแห่งหนึ่ง ซึ่งมีนักศึกษาลงทะเบียนจำนวนมากเกินกว่าคุรุภัณฑ์โต๊ะเก้าอี้พอเพียงต่อความต้องการ ทำให้เกิดการล่ามโต๊ะและเก้าอี้ด้วยโซ่เข้าด้วยกัน มีการเขียนจองโต๊ะ มีการเขียนแช่งด่าคนอื่นที่จะมานั่ง เรียกได้ว่าทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ตัวเองได้มีที่นั่งเพื่อฟังเล็กเชอร์อาจารย์ที่มีชื่อเสียง ซึ่งนั่นหมายถึงความรู้ที่คนอื่นไม่สามารถหาเทียมได้

แต่การล่ามโซ่ก็ใช่ว่าจะแก้ปัญหาการแย่งที่นั่งในห้องเรียนได้ นักศึกษาที่ไม่อยากเสียโอกาสก็จะต้องนั่งเฝ้าโต๊ะของตัวเองไม่จากไปไหน แม้อาหารกลางวันก็ต้องเตรียมมาด้วย เพราะถ้าใครแว่บออกไปแม้เพียงสี่ซ้าห้านาทีเท่านั้น กลับมาก็จะเห็นว่ามีคนอื่นมานั่งแทนอยู่แล้วอย่างทองไม่รู้ร้อน

และเหตุที่เป็นข่าวก็เกิดขึ้นเพราะว่า มีหนุ่มนักศึกษาคนหนึ่งที่ล่ามโต๊ะของตนเองไว้อย่างดีแล้วออกไปกินอาหารกลางวัน แต่พอหวนกลับมาอย่างร้อนใจก็พบว่ามีหนุ่มอีกคนหนึ่งเข้าสวมรอยที่นั่งของเขาไปเรียบร้อยแล้ว จึงเกิดบันดาลโทสะคว้าคอคู่กรณีให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ แต่ใช่ว่าเรื่องนี้จะยอมกันง่าย มีฮึดฮัดใส่กันทันที เพราะคนที่มาทีหลังก็คงอดทนรอจังหวะว่างมานาน เมื่อได้แล้วจะให้ยอมลุกหนีไปง่ายๆ ได้อย่างไร แต่ด้วยเพราะหนุ่มคนที่จองโต๊ะไว้ก่อนนั้นรูปร่างสูงใหญ่กว่ามาก ในที่สุดผู้มาทีหลังจึงปลิวตกเก้าอี้ลงมา และถูกกระทืบซ้ำอีก

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ถูกบันทึกไว้ในรูปแบบวิดีโอโดยนักเรียนร่วมชั้นคนหนึ่ง จากนั้นเขาก็นำเอาไปโพสต์ของในเวยโบ๋ จึงทำให้เหตุจองโต๊ะเรียนโหดนี้เป็นที่รับรู้ของสังคมวงกว้าง ซึ่งได้ดึงเอาสื่อกระแสหลักมาตามติดถ่ายรูปห้องเรียนที่แปลกประหลาดที่สุดนี้ก็เลยยิ่งเป็นที่รับรู้ไปในวงกว้างยิ่งขึ้น

ทำให้รู้ว่ามหาวิทยาลัยหลายแห่งรับจำนวนนักศึกษามากกว่าที่คุรุภัณฑ์ ลหุภัณฑ์ และคณาจารย์จะรับไหว จนเกิดเหตุทะเลาะวิวาทและการล่ามโต๊ะดังกล่าวเกิดขึ้น

ข่าวเหล่านี้ทำให้เห็นว่าเด็กนักเรียนนักศึกษาของจีนตกอยู่ในภาวะที่กดดันอย่างยิ่งจากการเรียนที่หนักหน่วง ทั้งยังต้องแบกรับความคาดหวังต่างๆ นานาไว้บนบ่าเล็กๆ ที่เดิมก็หนักสุดแสนจากจำนวนหนังสือที่อัดแน่นอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังต้องอยู่ในวังวนแห่งการแข่งขันที่ไม่มีวันหมดสิ้นจากคู่แข่งที่จ้องคอยเบียดให้ออกไปนอกทางของตน

ซึ่งเมื่อรับรู้เช่นนี้แล้วก็เหนื่อยแทนเด็กที่ต้องเรียนหนักเกินไป โดยไม่มีวันรู้ได้ว่าเมื่อไรจะบรรเทาเบาบางลง ในเมื่อประเทศยังขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วไม่เห็นฝุ่นอย่างในปัจจุบัน คนซึ่งเป็นกลไกขับเคลื่อนที่สำคัญนี้ก็ผลิตออกมารองรับความไวนี้อย่างต่อเนื่อง

แม่แน่ว่าอีกหน่อยแม้เวลานั่งทำงาน อาจจะต้องเสียบสายต่อสารอะมิโนบ้างก็ได้ เหมือนสมัยที่ยังเรียนอยู่บ้างก็ได้

พัลลภ สามสี

ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง
ตอบคำถามออนไลน์
ทบทวนรายการน่าสนใจ
ภาพยอดฮิต
เว็บไซต์ึเพื่อนซีอาร์ไอ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Play Stop
© China Radio International.CRI. All Rights Reserved.
16A Shijingshan Road, Beijing, China. 100040