นานาเทพเจ้าและเจ้าพ่อที่ทุกประเทศเคารพศรัทธากราบไหว้ เดิมล้วนเป็นบุคคลธรรมดาที่ทำคุณงามความดีไว้อย่างยิ่งยวด เมื่อสิ้นชีพไปแล้ว ผู้คนจึงพากันยกย่องให้เป็นผู้ที่อยู่เหนือคนทั่วไป มีการสร้างอนุสาวรีย์เป็นที่ระลึก และพากันไปกราบไหว้เชิดชู เพื่อหวังให้ความดีของคนเหล่านั้นเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต
ต่อมาเมื่อเวลาเพิ่มพูนขึ้น คุณงามความดีจึงค่อยๆ กลายเป็นของวิเศษของขลังขึ้นมา และในที่สุดก็กลายเป็นเทพยดา เป็นเจ้าพ่อ และเทพเจ้าในที่สุด ซึ่งในจีนมีตัวอย่างให้เห็นอยู่มากมาย เช่น จิ๋นซีฮ่องเต้ กวนอู ขงเบ้ง ไม่เว้นแม้แต่ในเมืองไทยที่มีรูปเคารพให้เห็นอยู่มากมาย
แต่คงไม่มีใครที่ถูกศรัทธากราบไหว้ขณะที่ยังมีอยู่ชีวิตอยู่อย่าง "โม่ เหยียน" นักเขียนรางวัลโนเบลคนแรกของจีน (ไม่นับ "เกา ซิงเจี้ยน" ที่เป็นจีน-ฝรั่งเศส และ "หลิว เสี่ยงโป" นักโทษการเมืองในคุกจีน) เพราะมีรายงานล่าสุดว่าที่เมืองเกามี่ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขานั้นล้นหลามไปด้วยผู้คนจำนวนมาก หลายคนอาจจะมาเพื่อชื่นชมว่าหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้น่ะหรือที่เป็นท้องเรื่องของนวนิยายดังทั้งหมดของเขา แต่หลายคนก็มาเพื่อที่จะได้ความเป็นสิริมงคลกลับไป บ้างพาลูกหลานมาด้วย ให้มาเห็นหลังคาบ้านของ "โม่ เหยียน" ก็ยังดี และเพื่อไม่ได้เป็นการเสียเที่ยว ก็พากันหยิบเศษดินเศษหินรอบๆ บ้านติดไม้ติดมือกลับไปด้วย บางคนก็ถอนเอาต้นไม้ต้นหญ้าแถวๆ นั้นไป ใครไม่ชอบสะสมของดูต่างหน้าก็พากันเดินรอบกำแพงบ้าน เอามือลูบไล้เสียจนปัจจุบันกำแพงเลื่อมเงาวับ
จะเหลือก็แต่เพียงเอาธูปเทียนมาจุดบูชาเท่านั้นเอง
ทุกคนที่มาต่างชื่มชมศรัทธา ลูกหลานที่พามาก็ด้วยหวังว่าพวกเขาจะเรียนเก่งขึ้น จะฉลาดและเป็นอัจฉริยะเหมือน "โม่ เหยียน" จะได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังได้ หรือหวังให้ได้เป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ทั้งหมดนี้เป็นปฏิกิริยาและลักษณาการเดียวกันกับที่ผู้คนเดิมทางไปศาลเจ้าหรืออนุสาวรีย์บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์แล้วพากันกราบไหว้ขอพร
สิ่งนี้ทำให้ "โม่ เหยียน" กลายเป็นเทพเจ้าตั้งยังมีลมหายใจอยู่
นอกจากความเคารพบูชาดังกล่าวแล้ว ชื่อของ "โม่ เหยียน" ก็กลายเป็นตราสินค้าที่มีราคาสูงขึ้นตามมาด้วยอย่างไม่น่าเชื่อ
อย่างเช่นเมื่อหลังจากชื่อของ "โม่ เหยียน" ถูกประกาศเชิดชูให้เป็นนักเขียนรางวัลโนเบลนั้น มีพ่อค้าหัวใสรีบไปจดทะเบียนสินค้าใหม่ให้กับสุราที่ตัวเองผลิตอยู่ก่อนแล้วในชื่อว่า "โม่ เหยียน จุ้ย" ซึ่งแปลว่า "โม่ เหยียน เมา" แล้วนำไปขายต่อให้กับผลิตสุรายักษ์ใหญ่ ทำให้เขารวยเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืน
กรณีสุราของจีนนี้เป็นเรื่องที่ประเทศอื่นอาจจะไม่เข้าใจ เพราะว่าที่นี่มีวัฒนธรรมการดื่มที่แข่งแกร่งมาก ไม่ว่าจะมีกิจกรรมสำคัญอะไรล้วนเป็นจะต้องดื่มกันไปเสียทุกโอกาส ทำให้แต่ละมีมูลค่าของตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ของจีนตกหลายแสนล้านหยวนเสมอ
สำหรับการนำเอาชื่อของผู้มีชื่อเสียงในสังคมจีนมาตั้งเป็นชื่อของสุราก็ใช่ว่าเพิ่งจะเกิดขึ้น เช่น สุราขาวกลั่นชั้นดียี่ห้อ "เหมา ไถ" ที่ขายดิบขายดีจนผลิตไม่ทันอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะว่าชื่อไปคล้องกับท่านผู้อภิวัติประเทศ "เหมา เจ๋องตง" เช่นเดียวกับล่าสุดนี้ที่สุรายี่ห้อ "สี จิ่ว" ซึ่งผลิตมานานและขายไม่ดีจนทำท่าว่าจะเจ๋งแหล่มิเจ๋งแหล่ สามารถพลิกฟื้นคืนชีพกลับมาเป็นสุราที่ขายดีที่ที่สุดในเวลานี้ ก็ด้วยเพราะรัฐบาลจีนกำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำประเทศในวันที่ 8 พฤศจิกายน และคาดว่ารองประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จะได้ขึ้นเป็นผู้นำประเทศ เลขาธิการใหญ่ฯ และประธานคณะเสนาธิการทหารฯ อย่างอย่างแน่นอน ข้าราชการทั่วประเทศพากันเปลี่ยนจากสุรายี่ห้อเดิมๆ ที่เคยดื่มมาฉลองกันด้วย "สี จิ่ว" เพราะเชื่อกันว่าเป็นสุราที่มี่ย่อห้อเป็นมงคล ดื่มแล้วจะได้เป็นใหญ่เป็นโต มีตำแหน่งหน้าที่การงานดีเหมือนผู้นำประเทศในอนาคต
ซึ่งนี่ก็เป็นแนวคิดที่เป็นเอกลักษณ์แบบจีนอย่างยิ่ง เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นที่บ้านของ "โม่ เหยียน"
นอกจากชื่อของนักเขียนท่านนี้จะถูกนำไปทำเป็นชื่อสุราแล้ว ยังมีร้านบะหมี่แห่งหนึ่งในมณฑลซานตง ซึ่งเป็นแฟนงานเขียนของ "โม่ เหยียน" มานาน ก็คิดทำการตลาดเช่นนี้ก่อนที่ "โม่ เหยียน" จะได้รับรางวัลโนเบลเสียอีก เพราะเขาเคยขอชื่อ "โม่ เหยียน" ไปตั้งเป็นชื่อร้านจนขายดิบขายดี แถมยังให้บัตรทองแก่เจ้าของลิขสิทธิ์ชื่อให้สามารถรับประทานบะหมี่จากร้านนี้ได้ตลอดชีวิตเลยทีเดียว
พ่อค้าหัวใสในจีนนั้น ใช่ว่าจะรู้แต่เรื่องการจ่ายเงินสด เพื่อให้ได้ยี่ห้อสินค้าชื่อดังมาครองเท่านั้น บางคนก็มีเพทุบายที่เหนือชั้นอย่างไม่น่าเชื่อ อย่างเช่น หลังจากได้รับรางวัลหมาด มีนักข่าวไปสัมภาษณ์ "โม่ เหยียน" ว่าอยากจะซื้อบ้านในกรุงปักกิ่งหรือไม่ เขาก็ตอบมาทันทีว่า "บ้านในปักกิ่งแพงเหลือเกิน เงินรางวัลจำนวนมากจากโนเบล ก็คงซื้อได้แค่บ้านขนาด100 กว่าตารางเมตรเพียงเท่านั้น เพราะเดี๋ยวนี้ราคาอสังหาริมทรัพย์ในปักกิ่งอยู่ที่ระดับ 40,000-50,000 ต่อตารางเมตรเข้าไปแล้ว"
งานนี้ไปกระทบชิ่งถึงผู้ประกอบการขายบ้านพักอาศัย ที่กลัวว่าการที่ผู้มีชื่อเสียงอย่าง "โม่ เหยียน" ออกมาพูดพาดพิงถึงราคาบ้านในปักกิ่งเช่นนี้จะทำให้เกิดการเพ่งเล็งที่ราคาลอยตัวอันเป็นผลประโยชน์ของพวกเขา จึงมีคนออกมาพูดย้อนกลับไปว่า "คิดว่าโม่ เหยียน คงไม่สามารถซื้อบ้านในปักกิ่งได้อย่างแน่นอน เพราะเขาไม่ใช่คนที่นี่ และหากอยากซื้อจริงๆ เขาก็ต้องมาอาศัยที่ปักกิ่งให้ได้อย่างน้อย 5 ปี จ่ายภาษีให้ทางการท้องถิ่นอย่างน้อย 5 ปีก่อน ไม่เช่นนั้นก็จะไม่มีวันซื้อได้อย่างแน่นอน"
ตรงนี้นี่เอง จึงมีพ่อค้าอสังหาริมทรัยพ์หัวใสชาวเซี่ยงไฮ้ยื่นมือเข้ามาแทรกในวิวาทะเล็กๆ นี้ โดยเสนอบ้านระดับเพ้นต์เฮ้าส์ให้กับ "โม่ เหยียน" ในใจกลางนครเซี่ยงไฮ้ โดยไม่คิดเงินแต่สักหยวนเดียว ด้วยว่าหลังจากนั้นเขาสามารถไปโฆษณาต่อได้ว่าโครงการที่อยู่อาศัยของเขาหากใครได้เป็นเข้าของ ก็จะมี "โม่ เหยียน" เป็นเพื่อนบ้านอย่างแน่นอน
ซึ่งเป็นวินวินเกมที่สามารถพลิกวิกฤตเป็นโอกาสและฉลาดเป็นไฟอย่างยิ่ง
ผลพวงของชื่อเสียงเหล่านี้ล้วนแปลเป็นตัวเลขในบัญชีธนาคารของ "โม่ เหยียน" เป็นจำนวนมาก ซึ่งสรรพกรคงยิ้มกับยอดภาษีที่จะตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แค่รายได้จากลิขสิทธิ์การพิมพ์ซ้ำผลงานทุกชิ้นและเล่มที่ถูกแปลเป็นภาษาต่างประเทศด้วยนั้น คาดว่าภายในสิ้นปีนี้ "โม่ เหยียน" จะมีรายได้ประมาณ 200 ล้านหยวน
ซึ่งการนี้สื่อมวลชนของจีนได้ออกมาแจกแจงละเอียดยิบชนิดเจ้าตัวผู้สร้างผลงานเองก็ยังอาจจะอดตื่นใจกับรายได้มหาศาลนี้ไม่ได้ โดยเริ่มจากสำนักพิมพ์ที่ถือลิขสิทธิ์ผลงานของ "โม่ เหยียน" ในจีน คือ บริษัทเบจิง จูนีน แอนด์ โพรฟลาว์ คัลเจอร์ เดเวลลอปเม้นต์ จะพิมพ์ซ้ำผลงานทั้งหมดรวมแล้วประมาณ 1 ล้านเล่ม คิดเป็นรายได้ประมาณ 70 ล้านหยวน ถัดมาเป็นผลงานใหม่ 5 เล่ม ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงอยู่ในขณะนี้ ก็จะถูกพิมพ์ซ้ำเช่นกัน คิดเป็นเงินประมาณ 40 ล้านหยวน นอกจากนี้ยังมีผลงานชิ้นหนึ่งที่ถูกซื้อไปดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ ซึ่งราคาประมูลถูกเคาะไปที่ 1.2 ล้านหยวน และเมื่อรวมเงินรางวัล 7.5 ล้านหยวนจากสถาบันโนเบล และลิขสิทธิ์จิปาถะจากการไปเป็นนายแบบให้กับผลิตภัณฑ์จำพวกดินสอ ปากกา และพู่กันแล้ว ปีนี้ "โม่ เหยียน" ฟันเหนาะๆ เข้ากระเป๋า 200 ล้านหยวนแน่นอน
นี่เป็นเพียงรายได้คร่าวๆ ของปีนี้ที่ "เทพเจ้าโม่ เหยียน" จะได้รับจากน้ำพักน้ำแรงที่เขาเฝ้าเพียรประพันธ์ผลงานมาตลอดชีวิต และดูเหมือนจะเป็น "เมจิคัล เรียลลิสซึ่ม" หรือ "สัจจะนิยมมหัศจรรย์" เช่นเดียวกับรูปแบบการเขียนที่เขาถนัดอย่างมาก
ความผกผันนี้ดูเหมือนว่าจะเสียดเย้ยชีวิตของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ซึ่งเขาพูดถึงเรื่องนี้ในตอนหนึ่งของการสัมภาษณ์ว่า "เห็นทีจะเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้ถอยตัวเองออกมาเป็นโม่ เหยียนอีกคนหนึ่งที่ยืนมองเสียงชม เสียงด่า ความรุ่งโรจน์ และเงินทองที่ไหลมาเทมาอย่างสงบนิ่งพิจารณาว่า "โม่ เหยียน" คนนั้นจะทำอย่างไรต่อไป แต่สำหรับ "โม่ เหยียน" ที่ยืนอยู่ข้างหลังนี้จะนำเอาประสบการณ์และความรู้สึกนานาที่ถาโถมเข้ามากลั่นกรองเป็นวิธีการเล่าเรื่องและเนื้อหาของนวนิยายใหม่ของเขาให้ได้"
ซึ่งหากใครเป็นแฟนพันธุ์แท้นวนิยายของ "โม่ เหยียน" จะทราบว่าเขาเป็นมนุษย์นักทดลอง ผลงานของเขาทุกชิ้นจะต้องมีรูปแบบการเขียนและมีธีนำเสนอที่แปลกใหม่ไม่ซ้ำรอยเดิมเสมอ ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยที่เขาถูกยกย่องขึ้นมาเทียบชั้นนักเขียนชั้นเอกคนอื่นๆ ของโลกนอกจากนี้ความสามารถทางอักษรศาสตร์ของเขาได้ทำให้โลกยอมรับวรรณกรรมจีนเพิ่มมากขึ้น สามารถลบข้อครหาเดิมที่ว่า "จีนมีวรรณกรรมเอกก็เฉพาะ 4 นวนิยายคลาสสิกจากสมัยโบราณเท่านั้น" และที่สำคัญเป็นการยกระดับวัฒนธรรมของจีนให้อยู่ในระนาบเดียวกับวัฒนธรรมอื่นๆ ของโลกสมัยใหม่
ตรงนี้ต่างหากที่ควรเคารพและเชิดชูบูชา "โม่ เหยียน"
ไม่ใช่การไปกราบไหว้ ลูบไล้บ้าน เก็บหินและหญ้ารอบบ้านที่เขาเพียรปลูกและดูแลมานานจนเกี้ยงเกลาเช่นที่ทำกันอยู่ สิ่งนี้เป็นเพียงความศรัทธาที่เปลือกนอก เป็นความฉาบฉวยทางความคิดที่เคลือบคลุมจิตใจของผู้คนไม่ให้เกิดความสว่างในปัญญา
ผลงานและความสามารถของเขาต่างหากที่สามารถเป็นพลังแห่งความศรัทธา ชีวิตของผู้คนที่โลดแล่นอยู่ในนวนิยายของเขานั่นต่างหากที่จะเปิดเปลือยทุกความคิดและวิถีชีวิตของคนจีนด้วยกัน ดังนั้นหากไม่เปิดหนังสือของ "โม่ เหยียน" อ่านก็ไม่มีวันที่จะได้รับพลังวิเศษใดใด
ยิ่งงมงายกันเท่าใด ก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นโลกแห่งสัจจะนิยมมหัศจรรย์ในชีวิตจริงของชาวจีนมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
พัลลภ สามสี