ครั้งหนึ่งในวันว่าง เปิดอินเตอร์เน็ตดูความเคลื่อนไหวว่าในเว็บไซต์โหย่วคู่(youku) ซึ่งเป็นเว็บบริการวิดิโอที่ใหญ่ที่สุดของจีนมีอะไรที่น่าสนใจและเป็นที่สนใจของชาวเน็ตจีนบ้างนอกเหนือไปจากเรื่องบันเทองต่างๆ จนมาเจอวิดีโอบันทึกการข้ามถนนของคนเกาหลีใต้จากสถานที่จริง
ภาพนั้นเคลื่อนไหวไวกว่าในอัตราปกติ เพื่อให้เห็นปริมาณรถที่วิ่งในถนนและคนที่รอข้าม ไม่มีเสียงหรือดนตรีประกอบ ในความเงียบงันนั้นมีเพียงภาพของจำนวนคนที่เพิ่มมากขึ้นและรถที่ยังคงวิ่งผ่านไปจนเห็นแสงไฟเป็นสาย ขณะที่จุดกึ่งกลางของกล้องคือสัญญาณไฟจราจรซึ่งมีสีแดงฉายฉาน ที่ภาษาลาวเรียกว่า "ไฟอำนาจ" ฟังแล้วให้ความรู้สึกว่าอยากหยุดขาทันทีทีหันไปเห็นมากกว่าคำว่า "ไฟแดง"
ภาพเป็นเช่นนี้ไปเกือบ 2 นาที ไฟจึงเปลี่ยนเป็นสีเขียว รถที่วิ่งมาจอดนิ่งสนิทที่หลังเส้นขาว ถึงตรงนี้ภาพเปลี่ยนกลับมาในความเร็วปกติที่สายตามองเห็น แล้วคนก็ทยอยกันเดินข้ามทางม้าลายในจังหวะรีบโดยปกติ แต่ไม่ได้เร่งฝีเท้าและไม่ได้เบียดแทรก
สุดท้ายเมื่อภาพเฟดเป็นสีดำมีตัวอักษรภาษาจีนขึ้นมาประโยคหนึ่งแปลได้ว่า "ถึงเวลาที่ประเทศเราต้องทำอย่างนี้บ้างหรือยัง"
วิดีโอชิ้นนี้ถูกอัพขึ้นโดยสมาชิกรายหนึ่ง มีผู้มากดชื่นชอบจำนวนมาก มีคนมาเขียนข้อความสนับสนุนหลายพันข้อความ และคัดลอกเอาไปแบ่งปันกันดูอีกเพียบ จนขึ้นเป็นวิดีโอฮิตอันหนึ่งของเว็บในหมวดหมู่เกี่ยวกับสังคม
ด้วยเพราะเป็นสิ่งหนึ่งที่ชาวจีนคงหวังจะให้เกิดขึ้นจริงในบ้านเกิดเมืองนอนของตนเองบ้าง เพราะทุกวันนี้ก็เป็นที่รู้กันดีว่าเป็นอย่างไร ปั่นป่วนและไร้ระเบียบสักแค่ไหน จนจำนวนอุบัติเหตุทางการจราจรพุ่งพวดขึ้นไม่มีลด ซึ่งยืนยันได้จากวิดีโอที่เกี่ยวข้อง ซึ่งไม่เป็นคนเดินข้ามถนนไม่ดูสัญญาณไฟจนถูกรถชน ก็เป็นคนขี่จักรยานและมอเตอร์ไซค์ประสบอุบัติเหตุชนิดไม่น่าเป็นไปได้ เพราะขี่ข้ามทางท้าลายทั้งที่ก็เห็นว่ารถในช่องถนนข้างหน้ายังวิ่งฉิวอยู่ ซึ่งได้ดูเมื่อไรก็เกิดฉงนสนเท่ห์ว่าเหตุไฉนเขาไม่รอสัญญาณไฟกัน และทำไมเดินถนนและขี่รถไม่มองซ้ายมองขวากันเลย ทั้งที่น่าจะเป็นเรื่องของสัญชาตญาณด้วยซ้ำ
ซึ่งถ้าผมเด็กกว่านี้และอยู่ในสมัยบ้าหนังกำลังภายในก็คงจะต้องคิดว่า "คนจีนมีกำลังภายในการทุกคน โดนชนหน่อยกลับไปเดินกำลังภายในและลมปราณไม่นานก็หายเป็นปลิดทิ้ง"
เมื่อดูเสร็จแล้วใจก็ประหวัดไปถึงเมื่อครั้งไปทำข่าวติดตามความเคลื่อนไหวของการเตรียมเมืองเพื่อการเปิดฉากเป็นเจ้าภาพงานมหกรรมโลกหรือ "เวิลด์เอ็กซ์โป เซี่ยงไฮ้ 2010"
ซึ่งไปถึงแล้วก็ทึ่งกับการเปลี่ยนเมืองได้อย่างรวดเร็ว ทุกอย่างสองข้างทางในช่วง 3 เดือนก่อนวันเปิดงานมีแต่ความใหม่เอี่ยมอ่องทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นรถไฟใต้ดินสายใหม่ ถนนสายใหม่ เส้นขอบถนนสีขาวสะอ้านยังไม่มีรอยล้อรถยนต์มาไถลให้เป็นมลทิน ทางเดินเท้าปูอิฐที่เพิ่งเอามาจากโรงาน แปลงดอกไม้กำลังถูกจัดให้เข้ารูป ห้องน้ำสาธารณะริมทางเพิ่งก่อสร้างแล้วเสร็จและยังไม่เปิดให้ใช้ อาคารเก่าแก่และที่อยู่ริมทางทั้งที่เป็นที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน สถานที่ของทางการถูกทาสีใหม่หมาด
ระหว่างชื่นชมกับความสามารถของทางการเซี่ยงไฮ้ในการจัดการเมืองเนรมิตเมืองอยู่นั้น พื่อชาวจีนที่มาด้วยกันก็กระซิบบอกว่า "ดูนั่นสิคะ เอกลักษณ์ของชาวเซี่ยงไฮ้เลยล่ะ ตอนนี้ได้ข่าวว่าทางการก็ป่าวประกาศให้ชาวบ้านห้ามใส่ชุดนอนออกมาเดินถนนด้วย เพราะเป็นภาพลักษณ์ที่ไม่ดี"
ผมเห็นว่าไม่น่าจะเสียหายอะไร ก็ดูน่ารักดีที่คนใส่ชุดนอนออกมาซื้อกับข้าวกับปลาหรือหาซื้ออาหารเช้าไปรับประทานกัน ก็เป็นภาพที่มีสีสันและมีชีวิตชีวาดี เมืองจะเป็นเมืองก็เพราะต้องมีผู้คนอยู่อาศัย และถ้านักท่องเที่ยวมาถึงก็ต้องมาเห็นวิถีชีวิตของผู้คนด้วย ถึงจะเรียกว่ามาถึงที่จริงๆ
แต่เพื่อนคนจีนแย้งว่า "เห็นชาวบ้านน่ะเห็นได้ แต่เผอิญว่าช่วงนี้อากาศเย็นแล้ว ชุดที่ใส่เลยหนาปึ้ก ถ้าเป็นหน้าร้อนล่ะก็ ตอนแดดเช้าส่องมาอย่างนี้รับรองเห็นอวัยวะทุกอย่างใต้ร่มผ้านั่นหมด อย่างนี้เป็นเรื่องอุจาดตาไหมล่ะคะ"
ฟังแล้วก็ต้องออกปากยอมรับไปว่าทางการเขาทำถูกแล้วที่รณรงค์เรื่องนี้ แต่ในใจก็คิดว่า...ต้องกลับมาเซี่ยงไฮ้อีกทีตอนหน้าร้อนให้ได้
ขณะที่เราเดินคุยกันอยู่นั้นก็มาหยุดอยู่ตรงสี่แยกไปแดงพอดิบพอดี ตรงริมทางเท้ามีคนอออยู่แบบกระสับกระส่ายกันจำนวนมาก และบนพื้นถนนตรงทางม้าลายมีอาสมัครถือธงด้วยมือขวาคอยกั้นไม่ให้คนเดินลงมาในถนนกัน ปากก็เป่านกหวีดพร้อมใช้มือซ้ายกวักให้รถและมอเตอร์ไซค์วิ่งเร็วขึ้น
จู่ๆ ก็มีป้าคนหนึ่งหิ้วถุงใส่ผักหญ้าอาหารพะรุงพะรังเบียดแทรกผมและเพื่อนออกไปโดยไม่สนใจธงของอาสาสมัคร
...แน่นอนว่า เธอสวมชุดนอนด้วย
หลังจากนั้นก็เกิดการต่อล้อต่อเถียงกันยืดยาวจนทำท่าจะกลายเป็นการวิวาท เพราะป้ายืนยันว่าตัวเองอยู่แถวนี้มาตลอดชีวิต ทำไมจะเดินกลับบ้านตัวเองที่อยู่ข้างหน้านี้ไม่ได้แบบที่เคยทำไม่ได้ อาสาสมัครก็อธิบายแบบมีอารมณ์ว่าให้รอไฟเขียวก่อน ให้ทำตัวศิวิไลซ์เพื่อเป็นเจ้าภาพงานระดับโลก
ไฟแดงเจ้ากรรมวันนั้นก็นานเสียเหลือเกิน เหมือนตำรวจจราจรก็เพิ่งทดลองระบบว่าเวลาเท่าไรจึงจะพอเหมาะในการระบายรถ เราเลยได้ชมการโต้วาทีแบบแฉแต่เช้าอย่างสนุกสนานแกมหวาดเสียว
เพื่อนที่มาด้วยบอกกับผมว่ารู้สึกเสียหน้ามากที่ผมได้เห็นภาพเช่นนี้ และบอกว่าคนจีนไม่ได้เป็นอย่างนี้ทุกคนนะ อย่างน้อยก็เธอที่ยืนรอสัญญาณไฟอยู่พร้อมกับผม
2 ปีผ่านไป งานเวิลด์เอ็กซ์โปจบไปด้วยความชื่นชมจากทั่วโลกในความเป็นมืออาชีพของจีนในการจัดงานระดับโลกติดต่อกันด้วยความสำเร็จและยิ่งใหญ่จนเป็นที่จดจำไปอีกนานแสนนาน ผมมีโอกาสกลับมาเซี่ยงไฮ้อีกครั้ง
...แต่ไม่ใช่หน้าร้อน
คราวนี้เป็นหน้าหนาวชนิดสวมเสื้อผ้าหนาเป็นหมียังเดินสั่นถ้าอยู่ข้างนอกนานเกินไป และการมาคราวนี้เป็นการมาพักร้อน ไม่มีงานให้รกสมอง สิ่งที่ต้องทำคือเดินเที่ยว ชม และกินเท่านั้น
ระหว่างทางจะเห็นว่าชาวเมืองรอสัญญาณไฟโดยไม่จำเป็นต้องมีอาสาสมัครอีกแล้ว ยกเว้นตามแยกใหญ่สำคัญๆ ต่างๆ คนขับรถก็ชะลอทันทีที่เห็นไฟเหลือและจอดหลังเส้นเมื่อไฟแดง ซึ่งสร้างความประทับใจอย่างมาก แม้จะมีบ้างประปรายที่คนวิ่งพรวดข้ามในจังหวะที่ไม่มีรถ หรือรถจักรยานไฟฟ้าที่พุ่งตัดหน้าคนเดินถนนบนทางม้าลายบ้าง แต่ก็น้อยกว่าเมื่อก่อนอย่างมาก ไม่มีการมายืนเถียงกันที่ริมถนน และไม่มีอุบัติให้เห็นเลย
ถนนหนทางก็สะอาดสะอ้านน่าอยู่ หน้าบ้านไม่มีการวางของระเกะระกะ เข้าคอนเส็ปต์หน้าบ้านน่าอยู่ เพราะคนต่างคนก็ต่างดูแลหน้าร้านของคนเองด้วยการเก็บกวาดตลอด ไม่ต้องมีพนักงานทำความสะอาดจำนวนมากเหมือนปักกิ่ง ซึ่งนี่เป็นมรดกอีกอย่างหนึ่งของงานเวิลด์เอ็กซ์โป นอกเหนือไปจากวินัยในการใช้ถนนทั้งของคนขับยานยนต์และคนเดิน ซึ่งเปลี่ยนได้จริง เพียงแต่ต้องใช้เวลา และมีการเริ่มต้นเพียงเท่านั้น
วันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา ภาพทั้งหมดทั้งมวลที่เล่ามานั้นได้ผสานเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อเห็นภาพข่าวเกี่ยวกับการจับปรับคนเดินถนนที่ไม่เคารพกฎจราจรเกิดขึ้นอย่างจริงจังในย่านกลางกรุงปักกิ่ง ทำให้วันนี้นอกจากจะเป็นวันเลขสวยของศตวรรษแล้ว ยังเป็นฤกษ์งามยามดีของหน่วยงานตำรวจจราจรกรุงปักกิ่งจะได้ปฏิบัติหน้าที่เข้มงวดยิ่งขึ้น
รายงานข่าวยังระบุอีกว่า แท้ที่จริงแล้วปักกิ่งมีกฎหมายจับปรับเช่นนี้มาตั้งแต่เมื่อปี 2004 แล้ว ซึ่งเป็นช่วง 4 ปีในการเตรียมเมืองเพื่อต้อนรับการเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกล่วงหน้า ซึ่งตอนนั้นมีการปรับปรุงสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานชนิดพลิกหน้ามืเพื่อเป็นหลังมือ มีการเร่งออกกฎหมายฉบับใหม่หลายข้อ เพื่อสร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อยของเมือง ซึ่งรวมถึงกฎหมายจราจรฉบับนี้ด้วย แต่ที่ไม่มีการบังคับใช้อย่างเข้มงวด
งานี้ไม่ได้มีการแถลงสาเหตุว่าแท้จริงประการใดจึงเลือกที่จะเข้มขึ้นในวันนี้
ที่แน่ๆ คือ ตอนนี้คนเดินข้ามทางม้าลายโดยไม่เคารพสัญญาณไฟจะถูกปรับ 10 หยวน ทันทีหากเจ้าหน้าที่พบเห็น และต้องนำเอาใบสั่งไปชำระที่สถานีตำรวจจราจรของท้องที่นั้นๆ ด้วยตัวเองด้วย ทำให้ทั้งขายหน้าและเสียเวลาอย่างมาก เชื่อว่าเมื่อทำไปสักพักน่าจะทำให้คนเกิดความกลัวเกรงมากขึ้น ซึ่งไม่ใช่ที่ราคาของค่าปรับ แต่เป็นเวลาที่เสียไป เพราะคนที่ตัดสินหรือใช้สัญชาตญาณข้ามถนนทั้งที่ไฟยังแดงหราก็เพื่อจะได้ไวขึ้น ประหยัดเวลาขึ้น ดังนั้นหากถูกจับก็จะยิ่งเสียเวลาไปกันใหญ่
ไม่ว่าอย่างไรก็ตามนี่คือนิมิตรหมายที่ดีในการจัดการการเดินข้ามถนนที่ชาวโลกขนานนามกันว่า "เมืองจีนสไตล์" ให้หมดสิ้นไป
การที่กรุงโซลมีการจราจรที่เป็นระเบียบ การที่คนญี่ปุ่นยืนรอข้ามถนนด้วยความสงบ การที่คนยุโรปและอเมริกันต่อแถวกันอย่างเป็นระเบียบ ไม่ใช่ว่าเกิดขึ้นเองได้ ทุกอย่างย่อมมีการเริ่มต้น มีการปลูกฝัง สิ่งที่เป็นค่านิยมทางสังคมหรือจนถูกเรียกว่าเป็นวัฒนธรรมได้นั้นย่อมต้องการระยะเวลาด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ขอให้มีการเริ่มต้นขึ้นมาอย่างจริงจังเท่านั้น
และเมื่อเริ่มขึ้นแล้วได้รับความร่วมมือจากทุกคนในสังคม ไม่ช้าก็เร็วความเปลี่ยนแปลงก็ย่อมจะเกิดขึ้นให้ได้เห็น
พัลลภ สามสี