เมื่อเร็วๆนี้ หนังสือพิมพ์เป่ยจิงหว่านเป้าลงพิมพ์บทความเรื่อง ปี 2013 เป็นปีแรกแห่งอสังหาริมทรัพย์ของผู้สูงอายุ บทความนี้ระบุว่า ตลาดผู้สูงอายุกำลังปรากฏขึ้นในจีน การสำรวจแสดงให้เห็นว่า ถึงสิ้นปี 2011 จีนมีผู้สูงอายุเกิน 65 ปีประมาณ 123 ล้านคน เป็น 9.1%ของประชากรจีนทั้งหมด ซึ่งเท่ากับยอดจำนวนประชากรของยุโรป และคาดว่า ถึงปี 2027 สัดส่วนนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 14% จากข้อมูลดังกล่าว ผู้รับผิดชอบคนหนึ่งของบริษัทอสังหาริมทรัพย์กล่าวว่า เนื่องจากมีแนวโน้มผู้ผู้สูงอายุทวีสูงขึ้นจึงทำให้ความต้องการบ้านอยู่อาศัยเพื่อเลี้ยงผู้ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในอีกไม่นาน จะมีผู้สูงอายุจำนวนหนึ่ง มีสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในช่วงชีวิตของพวกเขา และมีทัศนคติการดำรงชีวิตในช่วงสูงอายุของตน และต้องการชีวิตผู้สูงอายุที่มีคุณภาพสูง
ปัจจุบัน ในจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกรุงปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้และเมืองขนาดใหญ่ๆ ที่มีเศรษฐกิจค่อนข้างพัฒนานั้น มีคนกลุ่มหนึ่ง ส่วนใหญ่ได้เกษียณอายุแล้ว และมีสุขภาพที่แข็งแรงอยู่ และมีบำเหน็จบำนาญของตน แม้ว่าไม่ค่อยมากก็ตาม แต่ก็พอสำหรับการดำรงชีวิตของตนแล้ว แต่ปัจจุบัน มีจำนวนคนกลุ่มนี้มากยิ่งขึ้นคิดว่าจะอาศัยในบ้านสงเคราะห์คนชรา อย่างเช่นคุณป้าหวังก็มีความคิดแบบนี้ จริงๆ แล้ว ก็เหมือนกับผู้สูงอายุส่วนใหญ่ ตอนเกษียณแล้ว เธอกับสามีต่างมีสุขภาพแข็งแรง และในความคิดของพวกเขา บ้านสงเคราะห์คนชราเป็นสถานที่อยู่อาศัยยามที่แก่จนเดินไม่ไหวแล้ว แต่ว่า เมื่อเร็วๆนี้ มีเหตุการณ์ครั้งหนึ่งทำให้เธอได้เปลี่ยนแนวความคิดของตน คือ เมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2012 ที่ผ่านมา เธอหกล้มขณะทำงานบ้าน จนทำให้กระดูกข้อเท้าหัก
คุณป้าหวังปีนี้อายุ 65 ปี เธอกับสามีพักอยู่ชมชนบ้านของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์แห่งหนึ่งในเขตตะวันตกของกรุงปักกิ่ง เพื่อนบ้านเป็นเพื่อนร่วมงานทั้งนั้น และอาศัยดูแลเกื้อกูลกันซึ่งกันและกันได้ ลูกๆของพวกเขาที่อาศัยในสหรัฐฯปัจจุบันก็มีความไว้วางใจ
แต่หลังจากหกล้ม เขาได้ประสบปัญหามากมายซึ่งเป็นเรื่องที่คาดคิดไม่ถึง ปัญหาแรกคือ เรียกรถพยาบาล ในกรุงปักกิ่ง เนื่องจากมีปัญหารถติดบ่อย และซอยทางเข้าชมชนของพวกเขาค่อนข้างคับแคบ และอยู่ข้างๆยังมีแผงลอยเป็นอย่างมาก จนทำให้รถพยาบาลต้องใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงถึงจะเข้าได้ แม้ว่า บ้านเขาตั้งอยู่ห่างจากโรงพยาบาลจี๋สุ่ยถานไม่ไกลเท่าไหร่ ระยะทางแค่ 3-4 กิโลเมตรเท่านั้น แต่เนื่องจากมีรถติด ได้ใช้เวลาเกือบ 40 นาทีจึงค่อยเดินทางถึงบ้านเขา ระหว่างนั้น คุณป้าหวังจึงคิดว่า โชคดี ครั้งนี้ไม่ได้เป็นเหตุร้ายแรงฉุกเฉิน มิฉะนั้นอาจจะล่าช้าไปแล้ว
ปัญหาต่อมาคือ การลงจากตึก บ้านของคุณป้าหวังอยูชั้น 3 แม้ว่าไม่ค่อยสูงก็ตาม แต่ว่าเป็นตึกเก่าไม่มีลิฟต์โดยสารขึ้นลง และหมอกับนางพยาบาลไม่สามารถยกแคร่หามลงจากบันได และในที่สุดต้องเชิญยามของลานบ้านมาให้ความช่วยเหลือ ในระหว่างการรักษาโรคเป็นเวลากว่า 2 เดือน นอกจากไปตรวจที่โรงพยาบาล คุณป้าหวังไม่เคยลงตึกเลย เพราะตึกไม่มีลิฟต์ ไม่สะดวกเลย
ปัญหายิ่งหนักคือ จ้างแม่บ้านมาให้ความดูแล ค่าจ้างคิดเป็นเงิน 3000 หยวนต่อเดือน และยังต้องให้ที่พักและอาหารฟรีและยังสามารถมีวันหยุดหนึ่งวันต่อสัปดาห์ คุณป้าหวังคิดว่า เงื่อนไขดังกล่าวไม่เลวแล้ว แต่สิ่งที่เธอคาดคิดไม่ถึงคือ แม่บ้านได้บอกกับเธอว่า ยอมไปดูแลเด็กทารกดีกว่าดูแลคนชรา ดังนั้น ในช่วงเวลาพักรักษาตัวนาน 3 เดือนกว่า เธอต้องเปลี่ยนแม่บ้าน 2 คน
ในระหว่างนั้น มีเพื่อนคนหนึ่งของคุณป้าหวังได้เสียชีวิตอย่างฉับพลัน เพราะเส้นเลือดในสมองแตก เพื่อนบ้านเล่าให้ฟังว่า ขณะเข้าห้องน้ำหลังตื่นนอน ก็เกิดอาการและขณะพบได้ล้มลงอยู่บนพื้น ยังไม่ถึงโรงพยาบาลได้เสียชีวิตแล้ว เป็นช่วงระยะเวลาไม่มีกี่ชั่วโมงเลย เพื่อนบ้านต่างเห็นว่า ในห้องน้ำ ถ้ามีปุ่มฉุกเฉิน เรื่องเศร้าสลดนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น เพราะเพื่อนคนนี้มีอายุแค่ 60 กว่าเท่านั้นเอง
สองเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้คุณป้าหวังรู้สึกว่าสูงอายุแล้ว ทำอะไรต้องให้ความระมัดระวัง จะเกิดอุบัติเหตุอะไรก็ไม่ได้แล้ว ลูกสาวของเธอที่ทำงานในสหรัฐฯก็โน้มน้าวให้ท่านทั้งสองไปพักที่บ้านสงเคราะห์คนชรา และกล่าวว่าในต่างประเทศการพักอาศัยในบ้านสงเคราะห์คนชราเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่ว่าต้องรอถึงเวลาแก่จนเดินไม่ไหวค่อยไป และมีบ้านพักคนชราชนิดหนึ่งสำหรับผู้สูงอายุที่ยังแข็งแรงอยู่แยกโดยเฉพาะ
LJ/Yim