ด้านกบฏชาวนาคิ้วแดงในมณฑลซานตงที่มีฟ่านฉงเป็นผู้นำได้ชนะกองทัพรัฐบาลเช่นกัน หลังเมืองฉางอันถูกกองทัพลู่หลินพิชิต ฟ่านฉงนำกองทัพคิ้วแดงซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวนาเดินทางมายังเมืองฉางอันตามคำเชิญของแกนนำกองทัพลู่หลิน แต่เมื่อกองทัพคิ้วแดงเดินทางถึงเมืองฉางอัน ก็ถูกกองทัพกลุ่มเจ้าที่ดินปิดล้อมไว้จนต้องอดอาหาร ทำให้ฟ่านฉงต้องพยายามถอนทัพออกจากเมืองฉางอัน ระหว่างทางถอยทัพ กองทัพคิ้วแดงถูกกองทัพของหลิวซิ่วโจมตีจนแตกพ่าย ในปีค.ศ. 25 หลิวซิ่วได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิ ทรงพระนามว่า กวางอู่ตี้ ตั้งเมืองหลวงที่เมืองลั่วหยาง จากนั้น หลิวซิ่วยกกำลังทหารไปปราบกลุ่มกบฏต่างๆ ในราชอาณาจักร เป็นเวลานานกว่า 10 ปี ทำให้ประเทศมีความเป็นเอกภาพสมบูรณ์
ในช่วงต้นของยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออก จักรพรรดิกวางอู่ตี้ทรงดำเนินนโยบายส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจหลายประการ เช่น จัดสรรที่ดินทำกินเป็นจำนวนมากของรัฐให้ชาวนาที่ไม่มีที่นาทำกิน ลดขนาดระบบบริหารบ้านเมือง โดยเฉพาะระดับล่าง พยายามปลดปล่อยทาสให้เป็นอิสระ ทำให้แรงงานภาคการผลิตเพิ่มขึ้นมาก
ต่อมา จักรพรรดิกวางอู่ตี้มีพระราชโองการให้เจ้าหน้าที่ทำการสำรวจปริมาณพื้นที่ทำกินของเจ้าของที่ดินรายใหญ่ และจำนวนชาวนาที่ทำนาบนที่ดินดังกล่าว เพื่อจะได้ตัวเลขที่แท้จริงในการจัดเก็บภาษี ไม่ให้เจ้าของที่ดินรายใหญ่แสดงตัวเลขอันเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษี แต่ผลปรากฏว่า เจ้าหน้าที่ที่ออกสำรวจคบคิดกับเจ้าของที่ดิน โดยรับสินบนบ้าง ยอมอยู่ใต้อิทธิพลบ้าง ชาวนาที่ทำนาแท้ๆ กลับต้องรับภาระหนักขึ้น เมื่อชาวนาไม่มีเงินจ่ายภาษีส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ก็ต้องกู้ยืมเงินจากเจ้าของที่ดิน ทำให้ชาวนาจำนวนมากยากจนยิ่งขึ้น และถูกกำจัดออกจากไร่นาที่เคยเป็นของตน ต้องหันไปเช่าที่นาของเจ้าของที่ดินเพื่อทำมาหากิน ทั้งนี้ทำให้ชาวนาจำนวนมากมีฐานะยากจนข้นแค้นลงทุกที ขณะที่เจ้าของที่ดินร่ำรวยและมีที่ดินเพิ่มมากขึ้น ผลที่สุด ชาวนาที่เช่าที่นาก็ต้องกลายเป็นทาส ขณะที่เจ้าของที่ดินรายใหญ่ ส่วนใหญ่ได้จัดตั้งกองกำลังติดอาวุธส่วนตัว เพื่อปกป้องความปลอดภัยของครอบครัวและยุ้งข้าวส่วนตัว รวมทั้งป้องกันไม่ให้ชาวนาที่อดอยากมาขโมยข้าวกิน ผลที่ตามมาก็คือ ในช่วงปลายรัชสมัยจักรพรรดิกวางอู่ตี้ มีโจรผู้ร้ายชุกชุมขึ้นตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ